World War Z
ซอมบี้ 4 X 100 หัวใจป๊อปปิ้ง
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องบทวิจารณ์กันในวันนี้
ขอเล่าเรื่องให้สู่กันฟังสักนิดนึง (ขอบอกว่าเป็นความรู้สึกและโคตรส่วนตัว
ไม่ได้ต้องการตำหนิหรือกล่าวหาในทางที่ไม่ดีเลยนะครับ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็ช่างแม่ง)
ผมได้มีโอกาส (เวลา) ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อวันเสาร์ที่ 22/6/56
ที่โรงภาพยนตร์ที่ผมเคยทำงานมาแล้ว (เมเจอร์สาขาแฟชั่น)
ซึ่งขอบอกว่าไม่ได้มาชมภาพยนตร์ที่นี่มานานมาก เรื่องสุดท้ายจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่น่าจะ 2-3 ปีแล้วมั้ง ซึ่งผมก็ไปรับชมในระบบ 3 D ซึ่งสิ่งที่เห็นคือ ที่นี่ยังไม่ได้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงระบบเหมือนกับสาขาใหญ่
ๆ (ขอเปรียบเทียบกับรัชโยธิน) ถ้าเป็นสาขาใหญ่ ๆ นั้นระบบ 3D เค้าจะกลายเป็น
Real กันหมดแล้ว แต่ที่กับเป็นระบบเดิม
ซึ่งบอกได้ว่าทำปวดตาและเสียอรรถรสมาก ๆ (แว่นยังเป็น 2 สีตัดแสงลายตาเหมือนเดิม)
และในเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์ก็แข็งและเอนจนทำให้ปวดหลังเอามาก ๆ พูดง่าย ๆ
คือที่ไปดูวันนั้นเพราะข่มใจดูที่ว่า
ตั๋วแม่งโคตรแพงกว่าโรงภาพยนตร์อีกเครือนึงมาก ซื้อไปแล้วต้องทำใจนั่งทนดูให้รู้เรื่องให้จงได้
ที่กล่าวมาก็อยากจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทำการปรับปรุงหน่อยนะครับ
เพราะที่อื่นเค้าก็ปรับเปลี่ยนกันไปแทบทั้งหมดและ
เรื่องเก้าอี้ด้วยผมว่าต้องมีคนบ่นเยอะแน่ ๆ
(ขอพูดในฐานะคนที่เคยทำงานเป็นเด็กโรงหนังมาก่อนนะครับ ไม่ใช่นักวิจารณ์)
มาเข้าเรื่องกันดีกว่ากับภาพยนตร์เรื่อง
World War Z (ใครออกเสียงแซดไทยมากนะครับ)
เป็นหนังที่ถ้าใครได้ดูตัวอย่างแล้วจะต้องรู้สึกตื่นเต้นกับความบ้าระห่ำของเหล่าซอมบี้
ที่สวมวิญาณเป็นนั่งวิ่ง 4 X 100 ไล่กัดชาวบ้านแบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใด
ๆ ทั้งสิ้น ทำให้อาจจะถูกจริตของคนที่ชอบหนังผี แนว Survivor หนีตายกันไปข้างเลยก็เป็นได้
VIDEO
หนังเล่าถึง เจอร์รี่ เลน (แบรด พิตต์) และครอบครัว
พบว่าการเดินทางบนท้องถนนที่เคยเงียบสงบของพวกเขา
ต้องเผชิญหน้ากับการจราจรติดขัดกลางเมือง เลนที่ในอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนขององค์การสหประชาชาติ
รู้สึกว่านี่ไม่ใช่รถติดธรรมดา และก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จนตัวของเค้าเองต้องกลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกำกับของ Marc Forster
ที่เคยฝากผลงานที่คาดว่าจะผ่านสายตาคนประเทศเราอย่าง 007 Quantum Of Solace
และ Machine Gun
Preacher ที่รอบนี้มารับการกำกับของหนังที่นำมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันนี้เอง
ซึ่งตัวหนังถ้าพูดกันตรง ๆ
ก็เป็นหนังที่ไม่ได้มีอะไรมากนักเหมือนกับตอนโปรโมทที่ดูหรูหรา อลังการจนมากเกินไป
ซึ่งพอได้รับชมแล้วให้ความรู้สึกแค่เพียงว่า ดูผ่าน ๆ เอาความบันเทิงเริงใจเท่านั้นเอง
เพราะโดยตัวหนังตั้งแต่เริ่มเข้ามาได้เพียงแค่ 5 นาที
เราก็จะได้เห็นความบ้าคลั่งของเหล่าซอมบี้ 4 X 100 ไล่ฟัดกันเหล่ามนุษย์กันแบบไม่ยั้ง เล่นเอางงไปเหมือนกัน
เพราะตัวหนังทั้งเรื่องไม่ได้มีการอธิบายหรือมีข้อถกเถียงโต้แย้งถึงความเป็นมาของเหล่าซอมบี้นี้เลย
อยู่ดี ๆ ก็มาซะอย่างนั้น แล้วค่อยไปแก้ไขทีหลัง
ซึ่งมันดูไม่สมเหตุสมผลถ้าจะไปของเปรียบเทียบกับหนังแนวซอมบี้เรื่องอื่น
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นส่วนเสียเพราะส่วนที่ดีและของชมของหนังเรื่องนี้ก็คือการได้พระเอกสุดหล่อ
(แต่เรื่องนี้ดูแก่ลงมาก) อย่างแบรต พิตต์ ที่สามารถคุมโทนและจังหว่ะของหนังได้อย่างอยู่หมัดและเด่นอยู่คนเดียวจริง
ๆ เพราะเล่นทั้งเรื่องเกือบทุกฉากทุกตอน
บดบังดาราคนอื่นที่เล่นด้วยไปแบบที่กู่ไม่กลับมาเลย ถ้าใครเป็นแฟนหนังของแบรต
พิตต์ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังเพราะจะเห็นเค้าทั้งเรื่อง ฟินแน่นอน
กับเรื่องของการตัดต่อภาพที่ทำให้เราสนุกไปด้วยเท่านั้น
เพราะถ้าส่วนของบทหนังแล้วขอบอกได้คำเดียวว่า
มันอ่อนถึงขั้นปัญญาอ่อนเลยหล่ะ
คือมันควรจะมีเหตุและผลมากกว่านี้ของการมาของซอมบี้ เพราะตัวหนังก็บอกโต้ง ๆ
ว่ามันคือหนังซอมบี้บุกทลายโลก แต่ส่วนตัวผมกลับมองว่ามันเป็นประเด็นที่ไม่เด่นนัก
แต่ประเด็นที่เด่นมากกว่าก็คือเรื่องของการเหน็บและเสียดสีองค์การสหประชาชาติ ( UN) หรือหน่วยงานอื่น ๆ
ของสหรัสเสียมากกว่าในเรื่องของคำว่าประโยชน์และไร้ประโยชน์
ใช้แล้วทิ้งไม่มีค่าก็เฉดหัวส่ง เพราะในหนัง (ขอสปอยนิดนึง) ได้กล่าวถึงภูมิหลังของเจอรี่
เลน ถึงสาเหตุที่ออกจากงานเนื่องจากเขียนหนังสือพาดพิงองค์การสหประชาชาติ
แต่พอเกิดเรื่องซอมบี้ก็ต้องขอร้องดึงตัวกลับมาแต่ใช้ครอบครัวเป็นหลักประกัน
แถมพอรู้ข่าวว่าตายก็เฉดหัวครอบครัวทิ้ง
ซึ่งประเด็นตรงนี้เองที่ผมมองว่ามันดูเด่นและขัดกับโทนของหนังเอามาก ๆ
และมันควรจะมีองค์ประกอบเกี่ยวกับคนที่จะมาช่วยรับส่งตัวเอกให้มากกว่านี้
แต่นี่กลับไม่มีเลยสักคน แถมบางตัวละครปูพื้นมาอย่างดีว่าเป็นใครเหมือนสำคัญ
แต่อีก 5 นาทีตายแบบปัญญาอ่อนซะงั้น เรียกได้ว่าไม่ต้องเปลืองจ้างมาเล่นก็ได้
หนังถือว่าสามารถดูเอาสนุก เพลิดเพลิน ไม่ซีเรียส
ดูซอมบี้วิ่งแข่ง 4 X 100 แต่ในภาวะสงบ
ทุกตัวก็จะพากันมาเต้น Popping กันอย่างเมามัน
ถือว่าเรียกเสียงหัวเราะให้ผมได้ถึงแม้ทั้งโรงมันจะเงียบก็ตาม ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานของพระเอกสุดหล่อ
แบรต พิตต์ ที่ใครเป็นแฟนคลับไม่ควรพลาด
6/10 ให้เยอะกว่าเรื่องที่แล้วเพราะอย่างน้อยเหล่าซอมบี้ก็ทำให้เรายิ้มได้...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น