วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556



Djungo Unchained

เกมส์ RPG ในคราบมาสล้างโคตร

หลังจากไม่ได้เขียนวิจารณ์หนังเล่น ๆ มาพอสมควรเพราะช่วงนี้ไม่มีหนังน่าสนใจเลย วันนี้เป็นโอกาสอันดีงามที่จะได้เขียนวิจารณ์หนังเรื่อง Djungo Unchained เสียหน่อย

             แต่ก่อนจะเข้าบทวิจารณ์ขอพูดระบายจากใจ วันนี้ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์เอสพานาด รัชดา ขอบอกได้คำเดียวจากใจคนที่เคยทำงานบริการที่โรงหนังมาเป็นผู้ใช้บริการว่า กูจะไม่ไปเหยียบโรงหนังนี้เป็นครั้งที่ 2 แน่นอนถ้าไม่มีความจำเป็นหรือมีหนังที่อยากดูแล้วเข้าเฉพาะที่นั่นกูถึงจะไปเหยียบ (ถ้าอยากรู้เรื่องถามมาได้นะครับว่าสาเหตุเกิดจากอะไร)

             Django Unchained เป็นหนังที่กำกับโดยผู้กำกับสุดแนวอย่าง "แควนติน ทาแรนติโน่" ที่เคยฝากผลงานสุดกวน อาทิ Reservoir Dogs , Kill Bill 2 ภาค , Inglourious Basterds (ชอบเรื่องนี้สุด ๆ) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1858 2 ปีก่อนสงครามกลางเมืองอเมริกา ยุคที่คนดำเป็นที่รังเกียจเหยียดหยามคนขาว หนังเล่าถึง "จังโก้" (แสดงโดย เจมี ฟ็อก) ที่ได้รับการช่วยเหลือจาก "ดร.คิง ชุทซ์" (แสดงโดย คริสตอปห์ วอลทซ์) นักล่าค่าหัว เพื่อให้มาเป็นผู้ช่วยในการชี้ตัวผู้ร้ายไม่ให้ผิดพลาด ได้ร่วมงานกันจน "จังโก้" ได้รับการฝึกกลายเป็นนักล่ามือฉมัง โดยดป้าหมายสุดท้ายคือการไปชั่วเมียรักนั่นเอง

             ตัวหนังเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง เดินตามทางหนังแอคชั่นทั่ว ๆ ไปโดยมีจุดมุ่งหมายของมันไม่ต่างจากหนังแอคชั่นเรื่องอื่น ๆ แต่ที่มันโดดเด่นเอามาก ๆ ก็คือการได้ดูหนังเรื่องนี้ เหมือนดั่งเราได้เล่นเกมส์แนวแอคชั่นกึ่งภาษา ที่เราจะต้องเดินเก็บเลเวลจนเราเก่งกล้าพอที่จะไปสู้กับบอสใหญ่อย่างมีสเต็ปโดยไม่โดดเลย จังหว่ะจะโทนของหนังก็เป็นอะไรที่ดูได้เพลิน ๆ มีคำพูดคารมคมคายและบทตลกร้ายที่กัดจิกกันได้ทั้งแสบทั้งคันมาก ๆ ด้านของบทหนังก็ไม่แข็งไม่อ่อนจนเกินไป เล่าเรื่องให้เราได้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครอย่างไม่สับสนเลยสักนิด ด้านของมุมกล้องต้องบอกเลยว่ามันคือมุมกล้องที่เป็นลายเซ็นของ ""แควนติน ทาแรนติโน่" ที่หาตัวจับยากที่จะทำมุมกล้งได้น่าสนใจขนาดนี้ ด้านของคิวแอคชั่นก็ต้องบอกว่ามันคือเสน่ห์ของผู้กำกับคนนี้จริง ๆ หาคนลอกเลียนแบบยากมาก

             ด้านของการแสดง เจมี ฟ็อก เล่นได้อยากน่าติดตามมาก ๆ จนเราดูแล้วเห็นใจและสงสารในตัวของ "จังโก้" เอามาก ๆ แต่ที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ "คริสตอปห์ วอลทซ์" กับบทของนักล่าฆ่าหัว "ดร.คิง ชุทซ์" ที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและคิดว่าน่าจะเด่นกว่าตัวเอกอีกด้วยซ้ำ ที่แม้ว่าอาจจะเล่นได้ไม่แสบไม่คันเท่าเรื่อง "Inglourious Basterds" ที่หนังเรื่องนั้นเล่นเป็นตัวร้าย แต่ก็ยังสมควรได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมครั้งล่าสุดจริง ๆ ส่วนตัวที่ขโมยซีนจนเราลืมตัวละครทั้ง 2 คงหนีไม่พ้น "ซามวลเอล แจ็กสัน" ในบทของ "สตีเฟ่น" ทาสที่กวนตีนสุด ๆ ทำเอาฮาได้ทุกซีนที่มีพี่แก่เล่นในช่วงครึ่งหลังของหลัง

             หนังได้ให้ข้อคิดหลัก ๆ เลยคือเรื่องของมนุษยธรรม แนวคิดของคนขาว 2 กลุ่ม กลุ่มนึงที่คิดว่าคนดำมันคือเผ่าที่ไม่มีสมองใช้แต่กำลังมันจึงสมควรที่จะเป็นทาส พร้อมกับกดขี่ข่มเหงเลี้ยงดูยิ่งกว่าหมาข้างถนน กับอีกกลุ่มที่คิดว่าคนดำเค้าก็คือมนุษย์ที่มีเลือดและความรู้สึกเหมือนกับคนขาวจึงคิดที่อยากจะปลดปล่อยให้เป็นอิสระภาพและอยู่ร่วมโลกด้วยกันได้นั่นเอง

             โดยรวมของหนังบอกได้เลยว่ามันคือหนังแอคชั่นตะลุยฆ่า ความยาว 2 ชั่วโมงเกือบ 3 ในแบบฉบับสุดกวนตีนของผู้กำกับสุดแนวที่หาชมได้ยากในยุคของหนังที่ทำแต่ 3D เน้นกราฟฟิกสวย ๆ จนลืมเนื้อหาสาระไป หนังออกโทนกลิ่นไอเก่า ๆ แต่มีการนำดนตรีฮิปฮอปมาประกอบก็เป็นอะไรที่ได้อรรถรสพอสมควร เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมจริง ๆ


(9/10) ขอตัดคะแนนเรื่องของตัดต่อเสียงที่ดูหนังของแกทีไรอารมณ์จุดนี้ทุกที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น