Star Trek Into
Darkness
สงครามอวกาศที่ไร้รอยต่อ
ก่อนอื่นขอออกตัวเลยว่า
โดยส่วนตัวแล้วไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้อย่าง Star Trek แต่อย่างใด
ทั้งตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่เคยดูจบซักภาคหรือจะเป็นซีรี่ย์ก็ไม่เคยติดตาม
แต่ที่ผมอยากดูเรื่องนี้เพราะชื่อของผู้กำกับเท่านั้น และก็ได้ติดตาม Star
Trek เวอร์ชั่นของ เจ.เจ.อับรามส์ตั้งแต่ภาคที่แล้ว
Star Trek Into Darkness สตาร์เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด เมื่อลูกเรือของยานเอนเตอร์ไพรส์ได้ถูกส่งตัวกลับมาถึงดาวโลก พวกเขาได้เผชิญกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวและยากจะหยุดยั้งที่เกิดขึ้นภายในองค์กรของพวกเขาเอง มันได้ทำลายกองยานรบและทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้โลกเข้าสู่สถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง
ด้วยความที่เป็นดาวบ้านเกิดของตัวเอง กัปตันเคิร์กจึงรับหน้าที่ในการนำทีมสู่พื้นที่สงครามเพื่อไล่ล่าคนร้ายที่ ครอบครองอาวุธมหาประลัยในขณะที่สงครามการไล่ล่าที่มีเดิมพันเป็นชีวิตและความตายดำเนินไปนั้น ความรักก็ถูกท้าทาย มิตรภาพก็ถูกหั่นสะบั้น และการเสียสละของเหล่าผู้คนที่เปรียบเสมือนครอบครัวที่เหลืออยู่ของกัปตัน เคิร์ก นั่นคือ ลูกเรือของเขา จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยภาคนี้ยังคงเป็นการกำกับของ เจ.เจ.อับรามส์ ผู้กำกับอัจฉริยะคนนึงในวงการภาพยนตร์ ซึ่งเคยฝากผลงานอย่าง Mission: Impossible III , Super 8 (ชอบเรื่องนี้ของเฮียแกมาก) และ Star Trek ภาคที่แล้วเมื่อปี 2009 โดยมาในภาคนี้ เจ.เจ.อับรามส์ ก็ยังคงเส้นคงวาในการเล่าเรื่องตามสไตล์ของตัวเอง คือ เรื่องของรายละเอียดปลีกย่อยที่สามารถเล่าและเดินเรื่องได้อย่างแนบเนียนและไม่งงเลย ถือว่าหนังอาจจะเดินเป็นเส้นตรงแต่เราก็ยังพอเห็นปมบางอย่างจนบางครั้งก็จับทางไม่ได้ โดยเฉพาะในภาคนี้ที่ต้องถือเป็นจุดแข็งเลยก็คือการมุ่งเน้นไปที่สายสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้เข้าขาและกลมกลืนอย่างลงตัวมาก และสร้างความระทึกทั้งฉากแอคชั่น และปมต่าง ๆ จนเกือบทำเราแทบหยุดหายใจก็เป็นได้
ถือว่าในเรื่องของฉากแอคชั่นต้องเป็นอะไรที่ขอชมเลย เพราะถือว่าเป็นหนังแอคชั่นไซไฟที่สนุกต้องแต่ต้นจนจบที่หาดูได้ยากมาก ๆ กับหนังที่มุ่งเน้นขายแต่ฉากเดิม ๆ ในปัจจุบัน คอไซไฟเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง และในเรื่องของตัวละคร ถือว่าผู้กำกับทำออกมาได้ดีมาก เพราะตัวละครทุกตัวไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย สามารถแชร์บทให้กับทุกตัวละครได้อย่างลงตัวจนทำให้เราลงอินไปกับความสัมพันธ์ของเหล่าลูกเรือเอนเตอร์ไพน์ และลุ้นระทึกไปกับเนื้อเรื่องได้ตลอดเวลา
ส่วนในด้านของนักแสดง คริส ไพน์ ในบท เจมส์ เคิร์ก ก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเหมือนในภาคแรก แซคคารี่ ควินโต้ ในบท สป็อก ถือว่าเล่นได้ถึงเนื้อถึงหนังมาก และ 2 ตัวละครนี้สร้างมาเพื่อกันและกันทุกทาง ทั้งเรื่องของลูกน้องกะกัปตัน เพื่อนกับเพื่อน ถือว่าทั้ง 2 เล่นได้อย่างเข้าขาและมีเคมีที่ตรงกันแบบสุด ๆ ส่วนของ เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ ในบทของ ข่าน ตัวร้ายของเรื่องในภาคนี้ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีทั้งในด้านของอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งเศร้า กลัว หรือแม้แต่การหักหลัง เล่นเอาตีบทแตกของคำว่าคนตอแหลแบบมีเหตุผลกันเลยทีเดียว ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทุกตัว ต้องขอชมผู้กำกับในเรื่องของการแชร์บทนี่หล่ะ และการพูดรับส่งของตัวละครที่ใครได้ดูแล้วจะหัวเราะของมาอย่างไม่ตั้งใจก็ว่าได้
ส่วนสิ่งที่เป็นจุดเสียใหญ่อย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของบทภาพยนตร์ ที่ยังแลดูแล้วอ่อนเกินไปในเรื่องของสงคราม การแก้แค้นของตัวร้าย ที่ดูแล้วประเด็นของมันไม่ได้หนักหรือมันดูมีเหตุผลน้อยจนเกินไป แถมยังใส่เนื้อหาเรื่องของกฎสตาร์ฟลีทแบบผ่าน ๆ หรือเรื่องของการเมืองระดับสหภาพดวงดาวน้อยจนเราไม่รู้กฎหรือเหตุผลของมันว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ตัวร้ายต้องมาแค้น มันเหมือนเป็นการยัดเยียดสงครามจนมากเกินไปจนดูแล้วบางครั้งบทหนังก็ไม่ได้ส่งให้หนังสนุกเลยเอาซักนิด
แต่สรุปโดยรวมแล้วถึงแม้ตัวบทจะยังดูอ่อน แต่หนังก็ชดเชยด้วยเรื่องของฉากแอคชั่น ความตื่นเต้นตั้งแต่ต้นจนจบ บทของตัวละครที่เข้าขากันและฮาไปในตัว ถือเป็นหนังแอคชั่นไซไฟที่หาดูยากในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง และเป็นที่น่าเสียดายว่า ภาคนี้จะเป็นภาคสุดท้ายของ เจ.เจ.อับรามส์ ที่จะทำหนังในซีรี่ย์ Star Trek เพราะเฮียแกจะไปกำกับหนังอวกาศคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Star War 7 แล้ว ถึงแม้ Star Trek จะเป็นหนังที่ไม่ได้ต่อเนื่องกันระหว่างภาค แต่ยังที่ เจ.เจ.อับรามส์ ได้ปูไว้มันก็คือการเดินหน้าต่อไปของเหล่าลูกเรือเอนเตอร์ไพน์ ถือว่าเป็นการโยนขี้ให้กับผู้กำกับคนต่อไปอย่างรุนแรง เพราะถ้าไม่สามารถทำได้ดีเหมือนกับคนก่อนแล้วนั้น คงโดนเหล่าแฟนคลับหรือคนที่ชื่นชอบ 2 ภาคที่ผ่านมาด่าเอาแน่ ๆ เลย (แนะนำไปเชิญเฮีย คริสโตเฟอร์ โนแลน มาทำต่อ รับรองมีประเด็นหนัก ๆ แน่)
ปล. ขอแนะนำให้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในระบบดิจิตอล 3D เพราะหนังค่อนข้างขายฉาก 3D อยู่พอสมควรแต่ไม่ใช่3D ไร้สาระเหมือนหนังหลาย ๆ เรื่อง และไม่รู้อันนี้เหตุผลส่วนตัว แนะนำให้ชมในโรงภาพยนตร์ในเครือ SF เพราะมีความรู้สึกว่าระบบเสียงของ SF จะดีกว่า Major ยังไงไม่รู้ (ดูเรื่องนี้ที่โรง 4 SF พระรามเก้า จอใหญ่เหี้ย ๆ และระบบเสียงดีโคตร ๆ ) แต่อันนี้ก็นานาจิตตังไม่ได้มีเรื่องของการตลาดแต่อย่างใด แต่เท่าที่ไปดูมาหลาย ๆ เรื่อง แค่รู้สึกว่าระบบเสียงของ SF จะดีกว่ามานานมากแล้วด้วย ยิ่งหนังที่มีซาวด์หลากหลายอย่าง Star Trek แล้ว แนะนำ 3D ในโรง SF ครับ
(8/10)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น