Man Of Steel
Super Hero ในดวงใจที่ไร้จุดยืน
ภาพยนตร์เรื่องนี้โดยส่วนตัวผมติดตามข่าวสารและได้ดูตัวอย่างครั้งแรกตั้งแต่ไปชมภาพยนตร์เรื่อง
The Dark Knight
Rises ที่โรงภาพยนตร์ IMAX แล้วรู้สึกตื่นเต้นและรอวันที่จะได้ดูของจริง
ทั้งชื่อของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมคนนึงในวงการภาพยนตร์ยุคนี้เลยก็ว่าได้
Man Of Steel เล่าถึง
Clark Kent หรือ Kal-El (แสดงโดย Henry
Cavill ที่เคยแสดงเรื่อง Immortals , The Cold Light of Day)
เด็กน้อยผู้ที่ถูกส่งตัวมาลี้ภัยจากดาวคริปตอนมายังโลก
พร้อมแบกความหวังแห่งการอยู่รอด และเติบโตมาพร้อมปมเล็ก ๆ ที่ว่าตัวเองคือใคร
พร้อมเดินทางตามหาความจริงของตัวตนจนได้พบกับ Lois Lane (นำแสดงโดย
Amy Adams ที่ฝากผลงานเด่น ๆ ไว้อย่าง Enchanted ,
Julie & Julia) นักข่าวสาวแห่ง Daily Planet ที่มาพบความจริงพร้อมเขียนข่าวเกี่ยวกับเอเลี่ยน ก่อนที่จะพลาดให้กับ General
Zod (นำแสดงโดย Michael Shannon) ที่รู้แหล่งกบดานที่
Kal-El ที่ส่งตัวมา (ก็คือโลกเรานี่หล่ะ)
Man Of Steel หรือที่รู้จักกันในนาม
Superman เวอร์ชั่นนี้เป็นการตีความใหม่ทั้งหมดของหนัง Superman
ที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ โดยผู้ที่อาสารับงานงานนี้ก็คือ Zack
Snyder ผู้ที่เคยฝากผลงานยอดเยี่ยมไว้อาทิ 300 , Watchmen ,
Sucker Punch แถมได้โปรดิวเซอร์อย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน
มารับหน้าที่ดูแลการผลิตทั้งหมด ทุกอย่างองค์ประกอบของหนังดีไปซะทุกอย่าง
ตั้งแต่ตัวอย่าง การโปรโมท
จนทำเอาสาวกซุปเปอร์ฮีโร่หรือคนที่ชอบเสพหนังแอคชั่นและคาดหวังว่าจะเจอสิ่งนั้นแบบเต็บสูบ
ขอพูดได้คำเดียวครับว่า...คุณคิดผิดหมดครับ
ขอเริ่มตั้งแต่เรื่องการแสดงก่อนนะครับ
ตัวเอกถือว่าเล่นได้ค่อนข้างดี (ล่ำขึ้นเยอะมาก ๆ จากเรื่องก่อน) แต่แลดูไม่เข้ากับตัวนางเอกเอาซะเลย
เพราะตัวนางเอกเรื่องนี้ ผมขอให้สอบตกครับ ทั้งการแสดงสีหน้าอารมณ์ การกระทำ
มันดูไม่เข้ากับธีมหนังเอาซะเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่า
คู่พระนางคู่นี้อายุห่างกันร่วม 10 ปี (ผู้หญิงแก่กว่า)
ทำให้เคมีดูไม่ค่อยเค้ากัน แต่ที่ต้องขอชมคือตัว Michael Shannon ที่เล่นเป็น General Zod ที่เล่นได้ดีเอามาก ๆ
จนบางครั้งผมอดลุ้นเอาใจช่วยตัวร้ายด้วยเลยทีเดียว
มาถึงเรื่องของบทหนัง
จะพูดว่ามันเป็นการตีความใหม่ หรือยึดพล็อตการ์ตูนดั้งเดิมก็แล้วแต่
แต่ดูเหมือนผู้กำกับจะยังไม่สามารถเล่าเรื่อง หรือเดินเรื่องได้แบบราบลื่น
ถึงแม้จะมีลูกเล่นในการเล่าสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
แต่มันกลับทำให้หนังเรื่องนี้ดูวกวน เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต
จนไม่สามารถหาทางออกมาได้ เพราะหนังเล่นสับไปสับมาจนงงว่า
อะไรมันสำคัญก่อนและหลังจนกล้าพูดว่ามันมั่วกันไปหมดเลย
ทั้งเรื่องประเด็นการมายังโลกของ Superman ความต้องการสร้างดาวของ
Genaral Zod จนดูว่าไม่มีประเด็นอะไรเด่นเลยแม้แต่น้อย
แถมด้วยการดำเนินเรื่องที่อืดอาด
ยืดเยื้อ จนบอกได้ว่า โครตน่าเบื่อ
เป็นเวลาเกือบชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้ที่หนังยังไม่สามารถจับทางของตัวมันเองว่าต้องการไปทางทิศทางไหนกันแน่
บางสิ่งก็ดูเหมือนง่าย บางสิ่งก็ดูเหมือนยาก จนผมเชื่อว่าต้องมีบางคนแอบงีบหลับแน่
ๆ (ผมคนนึงที่เกือบหลับถึง 3 ครั้ง พูดจริงจากใจ
ไม่ได้รู้สึกง่วงกับการดูหนังตั้งแต่องค์บากภาค 2 กี่ปีลองนับเอา)
มาถึงฉากแอคชั่นที่หลายคนถวิลหา
ผมคนนึงที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแอคชั่นที่ไม่เหมือนหนังทั่วไปเพราะด้วยตัวของผู้กำกับก็รู้
ๆ อยู่ว่าแนวเป็นแบบไหน แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังแบบสุด ๆ ๆ
เพราะหลายเรื่องที่ผ่านมาของ Zack Snyder ทำแอคชั่นได้มันมากอย่างเช่น
300 แต่กับหนังเรื่องนี้ มันคือแอคชั่นหลอกเด็ก ป.4 ชัด ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่เสียงตูมตามตลอดจนหารายละเอียดไม่ได้
แถมด้วยเรื่องของการตัดต่อต่าง ๆ นา ๆ ที่ทำเอาเวียนหัว
ดูไม่รู้เรื่องว่ามันทำอะไรกัน บอกได้คำเดียวคือแอคชั่นทุเรศเอามาก ๆ
สรุปโดยรวมแล้ว Man Of Steel ถือเป็นหนังปฐมบทของการตีความใหม่ซุปเปอร์ฮีโร่นาม Superman ที่หาจุดยืนและทางออกไม่เจอจนมั่วไปหมด
ทั้งประเด็นความขัดแย้งของดาวคริปตอน ทั้งการมายังดาวโลก
ทั้งการมาเพื่อยึดครองที่ไม่มีอะไรชัดเจนซักอย่าง มีอยู่สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือ
การสอนให้รู้ว่าเด็กที่เกิดมานั้นควรจะมีทางเบือกในการใข้ชีวิตของมัน
ไม่ใช้สร้างเพื่อให้เป็นอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการ
แต่ประเด็นความหมายแค่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถลบล้างกับหนังทั้งเรื่องได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะพูดจริง ๆ ว่าหนังโหนกระแสแค่การโปรโมท
ธีมของเรื่องยังคงคล้ายรายเซ็นของผู้กำกับ
แต่ไม่แน่ใจว่าโปรดิวเซอร์มาล้วงลูกในการคุมธีมหนังหรือเปล่า จึงทำให้หนังออกมาที่ดูไม่เป็นสัปรสเอาเสียเลย
ปล.หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง
24 นาที ซึ่งถือว่ายาวเกินไปสำหรับหนังเรื่องนี้
ใครที่จะไปดูขอแนะนำทำตัวให้พร้อม เพราะถ้าไม่พร้อมคุณจะหลับได้ทันที
แถมเชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องมีคำถามที่ว่า กางเกงในสีแดงของ Superman หายไปไหนก็เป็นได้ และผมมั่นใจเลยว่า หนังเรื่องนี้ต้องมีเข้าชิงรางวัล
ภาพยนตร์ยอดแย่ หรือมีเอี่ยวกับเวที Razzie Awards ปีหน้าอย่างแน่นอน
(4/10)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น