วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Man Of Steel

Super Hero ในดวงใจที่ไร้จุดยืน


ภาพยนตร์เรื่องนี้โดยส่วนตัวผมติดตามข่าวสารและได้ดูตัวอย่างครั้งแรกตั้งแต่ไปชมภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight Rises ที่โรงภาพยนตร์ IMAX แล้วรู้สึกตื่นเต้นและรอวันที่จะได้ดูของจริง ทั้งชื่อของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมคนนึงในวงการภาพยนตร์ยุคนี้เลยก็ว่าได้

Man Of Steel เล่าถึง Clark Kent หรือ Kal-El (แสดงโดย Henry Cavill ที่เคยแสดงเรื่อง Immortals , The Cold Light of Day) เด็กน้อยผู้ที่ถูกส่งตัวมาลี้ภัยจากดาวคริปตอนมายังโลก พร้อมแบกความหวังแห่งการอยู่รอด และเติบโตมาพร้อมปมเล็ก ๆ ที่ว่าตัวเองคือใคร พร้อมเดินทางตามหาความจริงของตัวตนจนได้พบกับ Lois Lane (นำแสดงโดย Amy Adams ที่ฝากผลงานเด่น ๆ ไว้อย่าง Enchanted , Julie & Julia) นักข่าวสาวแห่ง Daily Planet ที่มาพบความจริงพร้อมเขียนข่าวเกี่ยวกับเอเลี่ยน ก่อนที่จะพลาดให้กับ General Zod (นำแสดงโดย Michael Shannon) ที่รู้แหล่งกบดานที่ Kal-El ที่ส่งตัวมา (ก็คือโลกเรานี่หล่ะ)




Man Of Steel หรือที่รู้จักกันในนาม Superman เวอร์ชั่นนี้เป็นการตีความใหม่ทั้งหมดของหนัง Superman ที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ โดยผู้ที่อาสารับงานงานนี้ก็คือ Zack Snyder ผู้ที่เคยฝากผลงานยอดเยี่ยมไว้อาทิ 300 , Watchmen , Sucker Punch แถมได้โปรดิวเซอร์อย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน มารับหน้าที่ดูแลการผลิตทั้งหมด ทุกอย่างองค์ประกอบของหนังดีไปซะทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวอย่าง การโปรโมท จนทำเอาสาวกซุปเปอร์ฮีโร่หรือคนที่ชอบเสพหนังแอคชั่นและคาดหวังว่าจะเจอสิ่งนั้นแบบเต็บสูบ ขอพูดได้คำเดียวครับว่า...คุณคิดผิดหมดครับ

ขอเริ่มตั้งแต่เรื่องการแสดงก่อนนะครับ ตัวเอกถือว่าเล่นได้ค่อนข้างดี (ล่ำขึ้นเยอะมาก ๆ จากเรื่องก่อน) แต่แลดูไม่เข้ากับตัวนางเอกเอาซะเลย เพราะตัวนางเอกเรื่องนี้ ผมขอให้สอบตกครับ ทั้งการแสดงสีหน้าอารมณ์ การกระทำ มันดูไม่เข้ากับธีมหนังเอาซะเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่า คู่พระนางคู่นี้อายุห่างกันร่วม 10 ปี (ผู้หญิงแก่กว่า) ทำให้เคมีดูไม่ค่อยเค้ากัน แต่ที่ต้องขอชมคือตัว Michael Shannon ที่เล่นเป็น General Zod ที่เล่นได้ดีเอามาก ๆ จนบางครั้งผมอดลุ้นเอาใจช่วยตัวร้ายด้วยเลยทีเดียว

มาถึงเรื่องของบทหนัง จะพูดว่ามันเป็นการตีความใหม่ หรือยึดพล็อตการ์ตูนดั้งเดิมก็แล้วแต่ แต่ดูเหมือนผู้กำกับจะยังไม่สามารถเล่าเรื่อง หรือเดินเรื่องได้แบบราบลื่น ถึงแม้จะมีลูกเล่นในการเล่าสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบัน แต่มันกลับทำให้หนังเรื่องนี้ดูวกวน เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต จนไม่สามารถหาทางออกมาได้ เพราะหนังเล่นสับไปสับมาจนงงว่า อะไรมันสำคัญก่อนและหลังจนกล้าพูดว่ามันมั่วกันไปหมดเลย ทั้งเรื่องประเด็นการมายังโลกของ Superman ความต้องการสร้างดาวของ Genaral Zod จนดูว่าไม่มีประเด็นอะไรเด่นเลยแม้แต่น้อย 

แถมด้วยการดำเนินเรื่องที่อืดอาด ยืดเยื้อ จนบอกได้ว่า โครตน่าเบื่อ เป็นเวลาเกือบชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้ที่หนังยังไม่สามารถจับทางของตัวมันเองว่าต้องการไปทางทิศทางไหนกันแน่ บางสิ่งก็ดูเหมือนง่าย บางสิ่งก็ดูเหมือนยาก จนผมเชื่อว่าต้องมีบางคนแอบงีบหลับแน่ ๆ (ผมคนนึงที่เกือบหลับถึง 3 ครั้ง พูดจริงจากใจ ไม่ได้รู้สึกง่วงกับการดูหนังตั้งแต่องค์บากภาค 2 กี่ปีลองนับเอา) 

มาถึงฉากแอคชั่นที่หลายคนถวิลหา ผมคนนึงที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแอคชั่นที่ไม่เหมือนหนังทั่วไปเพราะด้วยตัวของผู้กำกับก็รู้ ๆ อยู่ว่าแนวเป็นแบบไหน แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังแบบสุด ๆ ๆ เพราะหลายเรื่องที่ผ่านมาของ Zack Snyder ทำแอคชั่นได้มันมากอย่างเช่น 300 แต่กับหนังเรื่องนี้ มันคือแอคชั่นหลอกเด็ก ป.4 ชัด ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่เสียงตูมตามตลอดจนหารายละเอียดไม่ได้ แถมด้วยเรื่องของการตัดต่อต่าง ๆ นา ๆ ที่ทำเอาเวียนหัว ดูไม่รู้เรื่องว่ามันทำอะไรกัน บอกได้คำเดียวคือแอคชั่นทุเรศเอามาก ๆ

สรุปโดยรวมแล้ว Man Of Steel ถือเป็นหนังปฐมบทของการตีความใหม่ซุปเปอร์ฮีโร่นาม Superman ที่หาจุดยืนและทางออกไม่เจอจนมั่วไปหมด ทั้งประเด็นความขัดแย้งของดาวคริปตอน ทั้งการมายังดาวโลก ทั้งการมาเพื่อยึดครองที่ไม่มีอะไรชัดเจนซักอย่าง มีอยู่สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือ การสอนให้รู้ว่าเด็กที่เกิดมานั้นควรจะมีทางเบือกในการใข้ชีวิตของมัน ไม่ใช้สร้างเพื่อให้เป็นอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการ แต่ประเด็นความหมายแค่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถลบล้างกับหนังทั้งเรื่องได้เลยแม้แต่น้อย เพราะพูดจริง ๆ ว่าหนังโหนกระแสแค่การโปรโมท ธีมของเรื่องยังคงคล้ายรายเซ็นของผู้กำกับ แต่ไม่แน่ใจว่าโปรดิวเซอร์มาล้วงลูกในการคุมธีมหนังหรือเปล่า จึงทำให้หนังออกมาที่ดูไม่เป็นสัปรสเอาเสียเลย


ปล.หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 24 นาที ซึ่งถือว่ายาวเกินไปสำหรับหนังเรื่องนี้ ใครที่จะไปดูขอแนะนำทำตัวให้พร้อม เพราะถ้าไม่พร้อมคุณจะหลับได้ทันที แถมเชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องมีคำถามที่ว่า กางเกงในสีแดงของ Superman หายไปไหนก็เป็นได้ และผมมั่นใจเลยว่า หนังเรื่องนี้ต้องมีเข้าชิงรางวัล ภาพยนตร์ยอดแย่ หรือมีเอี่ยวกับเวที Razzie Awards ปีหน้าอย่างแน่นอน


(4/10)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น