วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

The Lone Renger

โจรสลัดในคราบคาวบอย


            หลังจากที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังน่าติดตามสักเท่าไหร่ แถมลืมเขียนเรื่องล่าสุดอย่าง MUD ที่ไปดูเมื่อหลายวันก่อน (เนื่องจากลืมเดี๋ยวเขียนย้อนหลัง) และเพราะเรื่อง MUD ทำให้การดูหนังครั้งนี้ของผมต้องไม่พลาดที่จะซื้อ Popcorn ไปเคี้ยวเล่นในโรงภาพยนตร์เพื่อแก้ง่วง (เพราะเรื่องที่แล้วเกือบหลับจริง) และก็ได้พบปัญหาอย่างหนึ่งคือ ทำไม Popcorn มันแพงจังวะ แถมกล่องที่ใส่แม่งก็เล็กลงแต่ราคาเหมือนจะสูงขึ้น เมื่อบวกกับค่าน้ำ 1 แก้ว โอ้แม่เจ้า 160 บาท นี่แม่งคือการนำเข้าของเมล็ดข้าวโพดจากแดนไกลหรือ แล้วเราก็ไม่สามารถซื้อขนมจากร้านสะดวกซื้อไปกินในโรงของแม่งได้อีก รอบนี้ไม่ต้องบอกแบรนด์ก็น่าจะรู้นะว่าที่ไหนแม่งแพงและน้อยไม่คุ้มหว่ะ บัตรหนังแม่งก็แพงอยู่แล้ว นี่ยังดีที่ได้บัตรฟรีแต่ยังต้องเสีย 30 บาท มันจะไม่รวยได้ไงวะเนี่ย
            ภาพยนตร์เรื่อง The Lone Renger เป็นหนังที่ใครเห็นแล้วก็รู้ว่ามันคือหนัง  "คาวบอย"  ที่มีสเกลของหนังค่อนข้างใหญ่พอสมควร  โดยหนังจะเล่าจากมุมมองของ ทอนโต้ (จอห์นนี่ เดปป์)  อินเดียแดงคนสุดท้ายของยุค ที่เล่าถึงการผจญภัยสุดตื่นเต้นที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นและอารมณขัน ที่ซึ่งวีรบุรุษภายใต้หน้ากากได้ถูกปลุกชีพขึ้นมา  โดยมีจอห์น รีด (อาร์มี่ แฮมเมอร์)  ทนายความผู้รักความยุติธรรมยิ่งเป็นตัวแทนของผู้ใส่หน้ากากผดุงความถูกต้อง  ทั้ง  2  จะต้องร่วมมือกันหยุดยั้งจากสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่านความร่วมมือของคู่หูที่อุดมการณ์ต่างกันสุดขั้ว

            The Lone Renger เป็นหนังที่กำกับโดย Gore Verbinski ผู้ที่เคยฝากผลงานไตรภาคของสงครามโจรสลัดอย่าง Pirates of the Caribbean ทั้ง 3 ภาค (ยกเว้นภาคล่าสุดนะ) และผลงานก่อนหน้านี้ก็คืออนิเมชั่นสุดแนวอย่างกิ้งก่า Rango โดยมีโปรดิวเซอร์คู่บุญ (หรือป่าว) อย่าง Jerry Bruckheimer ชื่อนี้การันตีเพราะเป็นโปรดิวเซอร์มือทองคนนึงทั้งในวงการจอเงินและจอแก้ว เอาคร่าว ๆ ก็เป็นโปรดิว  CSI  เกือบหมด หรือรายการเกมส์โชว์ที่เล่นทางช่อง  AXN  ก็เกือบของเฮียแกหมด แถมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นของ  Walt Disney Pictures  ก็จะมี  Jerry Bruckheimer Films  ขอเฮียแกอยู่เสมอ   รับประกันความอลังการอย่างแน่นอน แถม Gore Verbinski ยังได้นักแสดงคู่บุญที่เล่นแม้กระทั้งอนิเมชั่นอย่าง จอห์นนี่ เดปป์  มาเล่นเพื่อสร้างสีสันแล้วถ้าคุณมองว่าองค์ประกอบทั้งหมดนี้จะทำให้หนังสนุกน่าติดตามทั้งเรื่องนั้นอาจไม่ใช่อย่างที่คุณคิด  เพราะหนังกับเป็นแค่หนังที่ดูได้เล่น ๆ  แก้เบื่อและซ้ำซากเท่านั้นโดยไม่มีอะไรให้ติดตามเลย

            พูดถึงเรื่องของการแสดงก่อนเลย  อาร์มี่ แฮมเมอร์ ในบทของ  จอห์น รีด  นั้นถือว่าเล่นได้ดีในระดับนึงแต่ยังไม่ถึงขั้นเทพนัก  อาจเป็นเพราะเมื่อมาจับคู่ร่วมกับ  จอห์นนี่ เดปป์  ทำให้รัสมีของเดปป์บนบังจนมิด  เพราะเดปป์ถือว่าเป็นนักแสดงฝีมือขั้นเทพที่ไม่มีใครสงสัย (มีครั้งนึงเคยสงสัยว่าเดปป์เคยเล่นบทไหนเรื่องไหนบ้างที่จะไม่มีการแต่งหน้าให้แปลก เพราะเรื่องแรกที่เคยดูของเดปป์อย่าง One Upon The Time In Maxico ยังโดนบทให้ตาต้องบอดอีก) ส่วนตัวละครอื่น ๆ อย่าง William Fichtner  ในบทตัวร้ายของเรื่อง Butch Cavendish (ชื่อนามสกุลเดียวกันกับตัวการ์ตูนในเรื่อง One Piece เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรสลัด Beautiful Pirates  เกียจลูฟี่เพราะแย่งความดัง) ซึ่งเชื่อว่าหลายอาจไม่รู้ว่าพี่แกคือ Alex Mahone ในซีรี่ย์แหกคุกสุดมันอย่าง Prison Break ก็เล่นได้ดีเลยทีเดียว

 

            ส่วนในเรื่องของตัวบทหนังนั้นถือว่ายังค่อนข้างอ่อนและจับต้องประเด็นอะไรมาเล่นได้ไม่มากนัก  แถมหนังเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองเพียงบุคคลเดียว  ซึ่งด้วยเหตุและผลนี้จึงไม่สามารถนำอะไรมาอ้างอิงได้เลยแม้แต่น้อย (เหมือนการฟังความข้างเดียวอ่ะ)  การเล่าเรื่องของหนังตอนแรกเหมือนจะเล่าแบบสลับไปมาระหว่างอดีต  แต่อยู่ดี ๆ ก็เล่ามาเป็นเส้นตรงเฉยเลยเหมือนหนังคาวบอยทั่ว ๆ  ไป  แล้วสิ่งที่น่าเบื่อสุด ๆ เลยคือ  การเล่าเรื่องนี่หล่ะที่ไม่มีความกระชับ  อืดอาด  ยืดเยื้อ  และไร้สาระเอามาก ๆ  โดยความน่าสนใจของหนังจะอยู่ที่ช่วงต้นและช่วงปลายของหนังเท่านั้น ส่วนช่วงกลางของหลังถ้าไม่มีป๊อปคอร์นราคา  160  บาท  ผมว่าอาจจะมีหลับในหรือยาวเลยก็ได้  ความยาวของหนัง  149  นาที  ควรจะตัดลงให้กระชับเพียง  100  นาที  ก็ยังดูไม่น่าเกียจ  แถมจะทำให้หนังสนุกเพราะความกระชับขึ้นมาด้วย


 

            ในด้านของฉากแอคชั่น  สเกลความใหญ่ของหนังนั้นถือว่าทำได้ดีในระดับนึง แต่ใช้ความกว้างของฉากมากเกินไป แต่ระเบิดและฉากสงครามกับไม่ใหญ่เท่าที่ควร แลดูแล้วโหวงเหวงเอามาก ๆ  หนังยังขาดเสน่ของคำว่า “ตะวันตก”  ไปเอามาก ๆ  เพราะมันแลดูและไม่เห็นเสน่ห์ของหนัง  “คาวบอย”  เอาซะเลย  ที่สำคัญคือเรื่องของมุขตลกขบขันและความวุ่นวายของหนัง  เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต่างจาก  Pirates of the Caribbean  ที่แปลงสภาพและการสู้รบมาบนฝืนทะเลทรายที่พยายามใส่กลิ่นไอความเป็นตะวันตกแต่ดันใส่ไปไม่หมดจนขาดความสนุก  มุขตลกความวุ่นวายซ้ำซากนั้นผมถือว่ามันไม่ต่างจากการเอาบทเก่ามาแปลงและเปลี่ยนโลเคชั่นก็เท่านั้น  มันเลยทำให้ดูซ้ำซากเอามาก ๆ   (หรือว่าผู้กำกับจะสร้างเรื่องนี้เป็นไตร

ภาคหว่า  แต่ถ้าทำมันก็คงแป๊กนะเพราะประเด็นมันไม่มีอะไรให้จับต้องได้เลยสักอย่าง)  แต่หนังก็ยังมีส่วนดีในตอนท้ายที่สามารถฉุดมาได้หน่อย  ที่สามารถใช้ดนตรีธีมคาวบอยมาประกอบกับฉากแอคชั่นที่ทำให้ดูได้เพลินพอสมควรและไม่ซีเรียสกับผลลับที่มันจะเกิดขึ้น  แต่มันก็เป็นแค่ส่วนเดียวจากทั้งหมดเท่านั้น

 

สรุปแล้ว  The Lone Renger  เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศวัย  เป็นหนังที่ดูเพื่อความบันเทิงเท่านั้นไม่ซีเรียส  เรียกเสียงฮาได้นิดหน่อยกับมุขเดิม ๆ  ไม่ต่างอะไรจากการผจญภัยบทท้องทะเล แปลเปลี่ยนมาเป็นผจญภัยบนหลังม้าเท่านั้นเอง

6/10  

 

ปล. คุณรู้หรือไม่ว่า  John Reid  อาจจะเป็นบรรพบุรุษของ  Britt Reid  ใน  The Green Hornet  ก็เป็นได้นะ (เพราะใส่น่ากากคล้ายกันเปลี่ยนแค่สีและปราบอธรรม  แถมมีคู่หูที่ทำตัวเหนือธรรมชาติด้วยนะเออ...บังเอิญหรือตั้งใจหว่า)


         

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น