The Lone Renger
โจรสลัดในคราบคาวบอย
หลังจากที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังน่าติดตามสักเท่าไหร่
แถมลืมเขียนเรื่องล่าสุดอย่าง MUD ที่ไปดูเมื่อหลายวันก่อน
(เนื่องจากลืมเดี๋ยวเขียนย้อนหลัง) และเพราะเรื่อง MUD ทำให้การดูหนังครั้งนี้ของผมต้องไม่พลาดที่จะซื้อ
Popcorn ไปเคี้ยวเล่นในโรงภาพยนตร์เพื่อแก้ง่วง
(เพราะเรื่องที่แล้วเกือบหลับจริง) และก็ได้พบปัญหาอย่างหนึ่งคือ ทำไม Popcorn
มันแพงจังวะ แถมกล่องที่ใส่แม่งก็เล็กลงแต่ราคาเหมือนจะสูงขึ้น
เมื่อบวกกับค่าน้ำ 1 แก้ว โอ้แม่เจ้า 160 บาท นี่แม่งคือการนำเข้าของเมล็ดข้าวโพดจากแดนไกลหรือ
แล้วเราก็ไม่สามารถซื้อขนมจากร้านสะดวกซื้อไปกินในโรงของแม่งได้อีก
รอบนี้ไม่ต้องบอกแบรนด์ก็น่าจะรู้นะว่าที่ไหนแม่งแพงและน้อยไม่คุ้มหว่ะ
บัตรหนังแม่งก็แพงอยู่แล้ว นี่ยังดีที่ได้บัตรฟรีแต่ยังต้องเสีย 30 บาท มันจะไม่รวยได้ไงวะเนี่ย
ภาพยนตร์เรื่อง The Lone Renger เป็นหนังที่ใครเห็นแล้วก็รู้ว่ามันคือหนัง
"คาวบอย" ที่มีสเกลของหนังค่อนข้างใหญ่พอสมควร โดยหนังจะเล่าจากมุมมองของ ทอนโต้ (จอห์นนี่
เดปป์) อินเดียแดงคนสุดท้ายของยุค
ที่เล่าถึงการผจญภัยสุดตื่นเต้นที่เต็มไปด้วยแอ็คชั่นและอารมณขัน
ที่ซึ่งวีรบุรุษภายใต้หน้ากากได้ถูกปลุกชีพขึ้นมา โดยมีจอห์น รีด (อาร์มี่ แฮมเมอร์) ทนายความผู้รักความยุติธรรมยิ่งเป็นตัวแทนของผู้ใส่หน้ากากผดุงความถูกต้อง
ทั้ง 2 จะต้องร่วมมือกันหยุดยั้งจากสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่านความร่วมมือของคู่หูที่อุดมการณ์ต่างกันสุดขั้ว
The
Lone Renger เป็นหนังที่กำกับโดย Gore
Verbinski ผู้ที่เคยฝากผลงานไตรภาคของสงครามโจรสลัดอย่าง
Pirates of
the Caribbean ทั้ง 3 ภาค
(ยกเว้นภาคล่าสุดนะ) และผลงานก่อนหน้านี้ก็คืออนิเมชั่นสุดแนวอย่างกิ้งก่า Rango โดยมีโปรดิวเซอร์คู่บุญ (หรือป่าว) อย่าง Jerry Bruckheimer ชื่อนี้การันตีเพราะเป็นโปรดิวเซอร์มือทองคนนึงทั้งในวงการจอเงินและจอแก้ว
เอาคร่าว ๆ ก็เป็นโปรดิว CSI เกือบหมด หรือรายการเกมส์โชว์ที่เล่นทางช่อง AXN ก็เกือบของเฮียแกหมด
แถมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นของ Walt Disney Pictures ก็จะมี Jerry Bruckheimer Films ขอเฮียแกอยู่เสมอ
รับประกันความอลังการอย่างแน่นอน แถม Gore
Verbinski ยังได้นักแสดงคู่บุญที่เล่นแม้กระทั้งอนิเมชั่นอย่าง
จอห์นนี่ เดปป์ มาเล่นเพื่อสร้างสีสันแล้วถ้าคุณมองว่าองค์ประกอบทั้งหมดนี้จะทำให้หนังสนุกน่าติดตามทั้งเรื่องนั้นอาจไม่ใช่อย่างที่คุณคิด
เพราะหนังกับเป็นแค่หนังที่ดูได้เล่น ๆ แก้เบื่อและซ้ำซากเท่านั้นโดยไม่มีอะไรให้ติดตามเลย
พูดถึงเรื่องของการแสดงก่อนเลย
อาร์มี่ แฮมเมอร์ ในบทของ จอห์น รีด นั้นถือว่าเล่นได้ดีในระดับนึงแต่ยังไม่ถึงขั้นเทพนัก
อาจเป็นเพราะเมื่อมาจับคู่ร่วมกับ จอห์นนี่ เดปป์ ทำให้รัสมีของเดปป์บนบังจนมิด เพราะเดปป์ถือว่าเป็นนักแสดงฝีมือขั้นเทพที่ไม่มีใครสงสัย
(มีครั้งนึงเคยสงสัยว่าเดปป์เคยเล่นบทไหนเรื่องไหนบ้างที่จะไม่มีการแต่งหน้าให้แปลก
เพราะเรื่องแรกที่เคยดูของเดปป์อย่าง One Upon The
Time In Maxico ยังโดนบทให้ตาต้องบอดอีก)
ส่วนตัวละครอื่น ๆ อย่าง William Fichtner ในบทตัวร้ายของเรื่อง
Butch
Cavendish (ชื่อนามสกุลเดียวกันกับตัวการ์ตูนในเรื่อง
One Piece เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรสลัด Beautiful Pirates
เกียจลูฟี่เพราะแย่งความดัง)
ซึ่งเชื่อว่าหลายอาจไม่รู้ว่าพี่แกคือ Alex Mahone ในซีรี่ย์แหกคุกสุดมันอย่าง Prison Break ก็เล่นได้ดีเลยทีเดียว
ส่วนในเรื่องของตัวบทหนังนั้นถือว่ายังค่อนข้างอ่อนและจับต้องประเด็นอะไรมาเล่นได้ไม่มากนัก
แถมหนังเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองเพียงบุคคลเดียว ซึ่งด้วยเหตุและผลนี้จึงไม่สามารถนำอะไรมาอ้างอิงได้เลยแม้แต่น้อย
(เหมือนการฟังความข้างเดียวอ่ะ) การเล่าเรื่องของหนังตอนแรกเหมือนจะเล่าแบบสลับไปมาระหว่างอดีต แต่อยู่ดี ๆ ก็เล่ามาเป็นเส้นตรงเฉยเลยเหมือนหนังคาวบอยทั่ว
ๆ ไป
แล้วสิ่งที่น่าเบื่อสุด ๆ เลยคือ
การเล่าเรื่องนี่หล่ะที่ไม่มีความกระชับ
อืดอาด ยืดเยื้อ และไร้สาระเอามาก ๆ โดยความน่าสนใจของหนังจะอยู่ที่ช่วงต้นและช่วงปลายของหนังเท่านั้น
ส่วนช่วงกลางของหลังถ้าไม่มีป๊อปคอร์นราคา
160 บาท ผมว่าอาจจะมีหลับในหรือยาวเลยก็ได้ ความยาวของหนัง 149
นาที ควรจะตัดลงให้กระชับเพียง 100
นาที ก็ยังดูไม่น่าเกียจ แถมจะทำให้หนังสนุกเพราะความกระชับขึ้นมาด้วย
ในด้านของฉากแอคชั่น
สเกลความใหญ่ของหนังนั้นถือว่าทำได้ดีในระดับนึง
แต่ใช้ความกว้างของฉากมากเกินไป แต่ระเบิดและฉากสงครามกับไม่ใหญ่เท่าที่ควร
แลดูแล้วโหวงเหวงเอามาก ๆ หนังยังขาดเสน่ของคำว่า “ตะวันตก” ไปเอามาก ๆ
เพราะมันแลดูและไม่เห็นเสน่ห์ของหนัง
“คาวบอย” เอาซะเลย
ที่สำคัญคือเรื่องของมุขตลกขบขันและความวุ่นวายของหนัง เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต่างจาก Pirates of the
Caribbean ที่แปลงสภาพและการสู้รบมาบนฝืนทะเลทรายที่พยายามใส่กลิ่นไอความเป็นตะวันตกแต่ดันใส่ไปไม่หมดจนขาดความสนุก
มุขตลกความวุ่นวายซ้ำซากนั้นผมถือว่ามันไม่ต่างจากการเอาบทเก่ามาแปลงและเปลี่ยนโลเคชั่นก็เท่านั้น มันเลยทำให้ดูซ้ำซากเอามาก ๆ (หรือว่าผู้กำกับจะสร้างเรื่องนี้เป็นไตร
ภาคหว่า
แต่ถ้าทำมันก็คงแป๊กนะเพราะประเด็นมันไม่มีอะไรให้จับต้องได้เลยสักอย่าง) แต่หนังก็ยังมีส่วนดีในตอนท้ายที่สามารถฉุดมาได้หน่อย
ที่สามารถใช้ดนตรีธีมคาวบอยมาประกอบกับฉากแอคชั่นที่ทำให้ดูได้เพลินพอสมควรและไม่ซีเรียสกับผลลับที่มันจะเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นแค่ส่วนเดียวจากทั้งหมดเท่านั้น
สรุปแล้ว
The Lone Renger เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศวัย
เป็นหนังที่ดูเพื่อความบันเทิงเท่านั้นไม่ซีเรียส เรียกเสียงฮาได้นิดหน่อยกับมุขเดิม ๆ ไม่ต่างอะไรจากการผจญภัยบทท้องทะเล แปลเปลี่ยนมาเป็นผจญภัยบนหลังม้าเท่านั้นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น