Iron Man 3
Hero ผู้หวาดกลัวในบางสิ่ง
หลังจากที่ไม่เวลาดูหนังเนื่องจากเหตุอันใดมิทราบ
เรื่องก่อนหน้านี้ที่ดูก็พี่มากขาาาา
เมื่อวานนี้เลยมีเวลาที่จะได้ดูหนังที่เค้าบอกว่าทั้งโลกรอคอย (ยกเว้นผม)
กับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ 1 ในจักรวาลของ "มาเวล
คอมิค" ฮีโร่จ้าวสำราญ เพลบอย บ้านรวย อัจฉริยะ
เป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งโลก คือพูดง่าย ๆ มึงเกิดมาไม่ต้องทำห่าก็มีหญิงเข้ามา
มีเงินใช้เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคมอยู่แล้วอ่ะนะ
โดยภาคนี้จะเป็นเรื่องราวที่ต่อจากเหตุการณ์เอเลี่ยนบุกโลกที่นิวยอร์ก "The Avengers" เล่าเรื่องชีวิตที่สับสนของ โทนี่ สตาร์ก (โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์) แต่หลังจากศึกที่นิวยอร์กทำให้เขาเกิดความกลัวว่าเขาจะสามารถปกป้องคนที่เขารักได้หรือไม่ จนเกิดเป็นความเครียดในที่สุด เขาใช้เวลาหมกมุ่นกับการสร้างชุดเกราะแบบใหม่ ๆ ขึ้นอีก 42 ตัว เพื่อให้เขาเชื่อมั่นมากขึ้น แต่นั่นกลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ เพพเพอร์ พ็อตส์ (กวินเน็ธ พอลโทรว์) มีปัญหา จนวันหนึ่งโลกก็ได้เผชิญหน้ากับ แมนดาริน (เบน คิงส์ลี่ย์) ศัตรูคนใหม่ที่หมายมั่นกำจัดเขา ในขณะที่บุคคลในอดีตที่เขาลืมไปแล้วก็กลับมาหาพบเขาอีกครั้งทั้ง อัลดริช คิลเลี่ยน (กาย เพียร์ซ) และ มายา แฮนเซ่น (รีเบคก้า ฮอลล์) กับเทคโนโลยีเอ็กทรีมิสที่อาจเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของโลกนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย "เชน แบล็ก" ที่รับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับเอง เคยมีผลงานมาแล้วจากเรื่อง "Kiss Kiss Bang Bang" พร้อมกับเคยร่วมงานกับ "โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์" โดยมาในหนังเรื่องนี้ผู้กำกับพยายามจะตีความของภาพลักษณ์ไอรอนแมนให้ใหม่ จากความเป็นเพลงบอยกลายเป็นคนจริงจัง จิตตก จนอาจทำให้เราลืม "โทนี่" คนเก่าไปเลยก็ได้ แต่ก็ยังไม่หมดเพราะยังคงเหลือความยียวนกวนประสาทเช่นเดิมแต่ในคราบของโรคคนเครียด ซึ่งแลดูแล้วไม้ได้มีความเข้ากันซักเท่าไหร่
สิ่งที่ทำได้ดีของหนังเรื่องนี้เลยคือ ในเรื่องของฉากแอคชั่นต่าง ๆ ต้องบอกว่าเป็น "ไอรอนแมน" ที่มีฉากแอคชั่นนานที่สุดของแต่ละซีนก็นาน แล้วอาจจะมันที่สุดก็ได้ ทั้ง แต่ยังไม่นานเท่า "The Avengers" ถ้าเทียบในจักรวาลมาเวลด้วยกัน เพราะภาคนี้คุณจะได้เห็นชุดเกาะออกมาสู้ด้วยตัวเองถึง 42 ชุด เลยทีเดียว แต่มันก็มีดีแค่ด้านนั้นด้านเดียวจริง ๆ
เพราะถ้าให้พูดถึงตัวบทบอกได้เลยว่า มันอ่อนเอามาก ๆ ทั้งในเรื่องของตัวร้ายที่ไม่มีเหตุและผลที่จะมาสู้กับไอรอนแมน และหนังก็ไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้ "ไอรอนแมน" ประกาศสงครามกับแมนดารินเอาซะเลย ซึ่งต่อให้มีเหตุผลของมันแต่ก็บอกได้ว่ามันอ่อนเอามาก ๆ และในเรื่องของพลังเทคโนโลยีของตัวร้ายภาคนี้อย่างเทคโนโลยีเอ็กทรีมิส ถือว่ามีความน่าสนใจส่วนนึงแต่แลดูแล้วมันพิลึกและมันทำให้คิดถึงการดัดแปลงมนุษย์ให้เป็นพวกมิวแทนต์คล้ายกับ X-MEN มากจนเกินไป เพราะถ้าเราเห็นตัวร้ายภาคก่อน ๆ จะสู้โดยใช้เทคโนโนยีเครื่องจักรและมีเหตุผลในการสู้ แต่ภาคนี้กลับใช้วิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรม เรื่องของยีน เซล มาสู้พร้อมเหตุและผลว่าทำไมแมนดารินถึงมาสู้กลับไอรอนแมนนั้น แทบจะไม่มีประเด็นอะไรเลยที่จะมาฆ่ากัน แถมสิ่งที่ตัวร้ายนำมาใช้ก็ดู "เว่อ" จนเกินไป เหมือนกับมันจะหลุดกรอบของหนัง "ไอรอนแมน" ไปเลยก็ได้ แถมยังมีการยัดเยียด "เด็กผู้ชาย" ที่เข้ามาในชีวิตของ "โทนี่" ในยามลำบากแต่ยัดเยียดเด็กให้มีบทบาทอย่างไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะซีนทั้งคู่เจอกันครั้งแรก เด็กไม่รู้จัก "โทนี่" แต่ดันรู้จัก "ไอรอนแมน" ทั้ง ๆ ที่ทั้งโลกเค้ารู้กันหมด จะบอกว่าความเป็นเด็กเลยไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะเด็กคนนี้ก็มีสมองที่ฉลาดอยู่เหมือนกัน และที่บอกได้ว่าเป็นอะไรที่สอบตกเอาสุด ๆ ก็คือโทนของหนังที่ผู้กำกับพยายามเล่าหนังให้ดูดาร์ค ให้ดูมีอะไร ให้ดูมีปมเหมือนหนังจากค่าย "DC" มากจนเกินไปและไม่มีความเข้ากันเอาซะเลย ซึ่งถ้าหากทำให้ตัว "โทนี่" เป็นแบบเดิมแต่เจ้าชู้น้อยลงยังจะดีเสียกว่านี้ด้วยซ้ำ
ในเรื่องของตัวละคร "โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์" ก็ยังคงมอบการแสดงที่ยอดเยี่ยมให้เราได้ชม ถึงแม้จะเป็นการปรับบทแต่ก็แสดงได้ดี "กวินเน็ธ พอลโทรว์" ในบทของ "เพพเพอร์ พอตส์" ถือว่าเล่นได้ดีในระดับนึงแต่ยังไม่ถึงขั้นดีมากเช่นเดิม ส่วน "ดอน ซีเดิล" ในบทของคู่หู "ไอรอนแมน" ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแต่เคมีของเค้ามันก็ยังไม่เข้ากับ "โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์" ตั้งแต่ภาคที่แล้ว ส่วนที่ต้องชมเลยว่าคนที่เล่นได้ดีเยี่ยมที่สุดและน่าจดจำเลยคือ "เบน คิงส์ลี่ย์" กับบท "แมนดาริน" ที่เล่นได้ดีและตีบทแตกเอามาก ๆ ใครได้ดูแล้วจะอมยิ้มกับตัวละครตัวนี้แน่ ๆ กับอีกคนคือ "กาย เพียร์ซ" กับบท "อัลดริช คิลเลี่ยน" ก็ทำหน้าที่ตัวร้ายได้น่าหมั่นใส้แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาสู้กัน
ส่วนที่ผมชอบอีกจุดนึงของหนังเรื่องนี้ไม่รู้มีใครสังเกตุรึป่าว หนังได้เสียดสีเรื่องการเมืองไว้ค่อนข้างแสบเอาเลยหล่ะ ทั้งในเรื่องของเหตุและผลของ "ผู้ก่อการร้าย" การสร้าง "ผู้ก่อการร้าย" การออกคลิปหรือทีวีให้ระทึกและเรื่องของ "ปธน.สหรัฐ" ที่เสียดสีเรื่องการเมืองและน้ำมันได้แบบแสบเอามาก ๆ ขอชมตรงจุดนี้
ถือว่า "ไอรอนแมน 3" เป็นไตรภาคที่จบได้สวยงามในระดับนึง ที่มีแง่คิดต่าง ๆ มากมายอยู่พอสมควรแล้วแต่ใครจะจับทางได้ ทั้งในเรื่องของคู่รักที่ไม่มีเวลาให้กัน ทั้งเรื่องของเหตุใด "โทนี่" ถึงสร้างเกาะมามากมาย เหตุเพราะตัวเขาเองไม่มั่นใจว่าตัวเองจะปกป้องคนรักได้มั้ย แต่มันก็เป็นอีกมุมของซุปเปอร์ฮีโร่ทุกตัวว่า เพราะอะไรพวกเค้าเหล่านั้นต้องสวมหน้ากาก แต่โทนี่เลือกที่จะสร้างเกาะและทำลายมันเพราะอะไร เป็นมุมมองความรักที่ดูดีแต่ในเรื่องกลับยัดเยียดเรื่อง "รัก 3 เศร้า" ที่ก็ไม่ได้เข้ากับหนังเอาซะเลย
สรุปว่า "ไอรอนแมน 3 " เป็นหนังแอคชั่นมัน ๆ ที่พยายามจะทำตัวให้ดาร์คและมีปมมากเกินไปจนไม่สำเร็จ และยัดเยียดอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่ได้เข้ากันเอาซะเลย จะมีดีก็ตรงแอคชั่นที่ค่อนข้างมาเต็มกับประเด็นเสียดสี "ผู้ก่อการร้าย" กับ "ปธน.สหรัฐ" และเรื่องของคนรักกัน พอดูมัน ๆ ได้ต่อย่าไปคาดหวังอะไรเยอะ
ปล.ใครที่ยังไม่ดูกรุณาดูจนจบเครดิตนะเพราะหนังมันจะไม่บอกให้เรานั่งแต่ แต่ก็แค่มุขเล็ก ๆ ของหนังมาเวลซึ่งทุกเรื่องจะโยงไปอีกเรื่อง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่เซอร์ไพรเล็กน้อยเท่านั้น และน่าติดตามว่า "ไอรอนแมน" จะกลับมาใน "The Avengers 2" อย่างไร
(6/10)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น