วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

World War Z

ซอมบี้ 4 X 100 หัวใจป๊อปปิ้ง

          ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องบทวิจารณ์กันในวันนี้ ขอเล่าเรื่องให้สู่กันฟังสักนิดนึง (ขอบอกว่าเป็นความรู้สึกและโคตรส่วนตัว ไม่ได้ต้องการตำหนิหรือกล่าวหาในทางที่ไม่ดีเลยนะครับ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็ช่างแม่ง) ผมได้มีโอกาส (เวลา) ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เมื่อวันเสาร์ที่ 22/6/56 ที่โรงภาพยนตร์ที่ผมเคยทำงานมาแล้ว (เมเจอร์สาขาแฟชั่น) ซึ่งขอบอกว่าไม่ได้มาชมภาพยนตร์ที่นี่มานานมาก เรื่องสุดท้ายจำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่น่าจะ 2-3 ปีแล้วมั้ง ซึ่งผมก็ไปรับชมในระบบ 3D ซึ่งสิ่งที่เห็นคือ ที่นี่ยังไม่ได้มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงระบบเหมือนกับสาขาใหญ่ ๆ (ขอเปรียบเทียบกับรัชโยธิน) ถ้าเป็นสาขาใหญ่ ๆ นั้นระบบ 3D เค้าจะกลายเป็น Real กันหมดแล้ว แต่ที่กับเป็นระบบเดิม ซึ่งบอกได้ว่าทำปวดตาและเสียอรรถรสมาก ๆ (แว่นยังเป็น 2 สีตัดแสงลายตาเหมือนเดิม) และในเก้าอี้ในโรงภาพยนตร์ก็แข็งและเอนจนทำให้ปวดหลังเอามาก ๆ พูดง่าย ๆ คือที่ไปดูวันนั้นเพราะข่มใจดูที่ว่า ตั๋วแม่งโคตรแพงกว่าโรงภาพยนตร์อีกเครือนึงมาก ซื้อไปแล้วต้องทำใจนั่งทนดูให้รู้เรื่องให้จงได้ ที่กล่าวมาก็อยากจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทำการปรับปรุงหน่อยนะครับ เพราะที่อื่นเค้าก็ปรับเปลี่ยนกันไปแทบทั้งหมดและ เรื่องเก้าอี้ด้วยผมว่าต้องมีคนบ่นเยอะแน่ ๆ (ขอพูดในฐานะคนที่เคยทำงานเป็นเด็กโรงหนังมาก่อนนะครับ ไม่ใช่นักวิจารณ์)



            มาเข้าเรื่องกันดีกว่ากับภาพยนตร์เรื่อง World War Z (ใครออกเสียงแซดไทยมากนะครับ) เป็นหนังที่ถ้าใครได้ดูตัวอย่างแล้วจะต้องรู้สึกตื่นเต้นกับความบ้าระห่ำของเหล่าซอมบี้ ที่สวมวิญาณเป็นนั่งวิ่ง 4 X 100 ไล่กัดชาวบ้านแบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้อาจจะถูกจริตของคนที่ชอบหนังผี แนว Survivor หนีตายกันไปข้างเลยก็เป็นได้

            หนังเล่าถึง เจอร์รี่ เลน (แบรด พิตต์) และครอบครัว พบว่าการเดินทางบนท้องถนนที่เคยเงียบสงบของพวกเขา ต้องเผชิญหน้ากับการจราจรติดขัดกลางเมือง เลนที่ในอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนขององค์การสหประชาชาติ รู้สึกว่านี่ไม่ใช่รถติดธรรมดา และก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จนตัวของเค้าเองต้องกลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้

          ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกำกับของ Marc Forster ที่เคยฝากผลงานที่คาดว่าจะผ่านสายตาคนประเทศเราอย่าง 007 Quantum Of Solace และ Machine Gun Preacher  ที่รอบนี้มารับการกำกับของหนังที่นำมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันนี้เอง ซึ่งตัวหนังถ้าพูดกันตรง ๆ ก็เป็นหนังที่ไม่ได้มีอะไรมากนักเหมือนกับตอนโปรโมทที่ดูหรูหรา อลังการจนมากเกินไป ซึ่งพอได้รับชมแล้วให้ความรู้สึกแค่เพียงว่า ดูผ่าน ๆ เอาความบันเทิงเริงใจเท่านั้นเอง


            เพราะโดยตัวหนังตั้งแต่เริ่มเข้ามาได้เพียงแค่ 5 นาที เราก็จะได้เห็นความบ้าคลั่งของเหล่าซอมบี้ 4 X 100 ไล่ฟัดกันเหล่ามนุษย์กันแบบไม่ยั้ง เล่นเอางงไปเหมือนกัน เพราะตัวหนังทั้งเรื่องไม่ได้มีการอธิบายหรือมีข้อถกเถียงโต้แย้งถึงความเป็นมาของเหล่าซอมบี้นี้เลย อยู่ดี ๆ ก็มาซะอย่างนั้น แล้วค่อยไปแก้ไขทีหลัง ซึ่งมันดูไม่สมเหตุสมผลถ้าจะไปของเปรียบเทียบกับหนังแนวซอมบี้เรื่องอื่น


            แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นส่วนเสียเพราะส่วนที่ดีและของชมของหนังเรื่องนี้ก็คือการได้พระเอกสุดหล่อ (แต่เรื่องนี้ดูแก่ลงมาก) อย่างแบรต พิตต์ ที่สามารถคุมโทนและจังหว่ะของหนังได้อย่างอยู่หมัดและเด่นอยู่คนเดียวจริง ๆ เพราะเล่นทั้งเรื่องเกือบทุกฉากทุกตอน บดบังดาราคนอื่นที่เล่นด้วยไปแบบที่กู่ไม่กลับมาเลย ถ้าใครเป็นแฟนหนังของแบรต พิตต์ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังเพราะจะเห็นเค้าทั้งเรื่อง ฟินแน่นอน กับเรื่องของการตัดต่อภาพที่ทำให้เราสนุกไปด้วยเท่านั้น


            เพราะถ้าส่วนของบทหนังแล้วขอบอกได้คำเดียวว่า มันอ่อนถึงขั้นปัญญาอ่อนเลยหล่ะ คือมันควรจะมีเหตุและผลมากกว่านี้ของการมาของซอมบี้ เพราะตัวหนังก็บอกโต้ง ๆ ว่ามันคือหนังซอมบี้บุกทลายโลก แต่ส่วนตัวผมกลับมองว่ามันเป็นประเด็นที่ไม่เด่นนัก แต่ประเด็นที่เด่นมากกว่าก็คือเรื่องของการเหน็บและเสียดสีองค์การสหประชาชาติ (UN) หรือหน่วยงานอื่น ๆ ของสหรัสเสียมากกว่าในเรื่องของคำว่าประโยชน์และไร้ประโยชน์ ใช้แล้วทิ้งไม่มีค่าก็เฉดหัวส่ง เพราะในหนัง (ขอสปอยนิดนึง) ได้กล่าวถึงภูมิหลังของเจอรี่ เลน ถึงสาเหตุที่ออกจากงานเนื่องจากเขียนหนังสือพาดพิงองค์การสหประชาชาติ แต่พอเกิดเรื่องซอมบี้ก็ต้องขอร้องดึงตัวกลับมาแต่ใช้ครอบครัวเป็นหลักประกัน แถมพอรู้ข่าวว่าตายก็เฉดหัวครอบครัวทิ้ง ซึ่งประเด็นตรงนี้เองที่ผมมองว่ามันดูเด่นและขัดกับโทนของหนังเอามาก ๆ และมันควรจะมีองค์ประกอบเกี่ยวกับคนที่จะมาช่วยรับส่งตัวเอกให้มากกว่านี้ แต่นี่กลับไม่มีเลยสักคน แถมบางตัวละครปูพื้นมาอย่างดีว่าเป็นใครเหมือนสำคัญ แต่อีก 5 นาทีตายแบบปัญญาอ่อนซะงั้น เรียกได้ว่าไม่ต้องเปลืองจ้างมาเล่นก็ได้


            หนังถือว่าสามารถดูเอาสนุก เพลิดเพลิน ไม่ซีเรียส ดูซอมบี้วิ่งแข่ง 4 X 100 แต่ในภาวะสงบ ทุกตัวก็จะพากันมาเต้น Popping กันอย่างเมามัน ถือว่าเรียกเสียงหัวเราะให้ผมได้ถึงแม้ทั้งโรงมันจะเงียบก็ตาม ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานของพระเอกสุดหล่อ แบรต พิตต์ ที่ใครเป็นแฟนคลับไม่ควรพลาด



6/10 ให้เยอะกว่าเรื่องที่แล้วเพราะอย่างน้อยเหล่าซอมบี้ก็ทำให้เรายิ้มได้...

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Man Of Steel

Super Hero ในดวงใจที่ไร้จุดยืน


ภาพยนตร์เรื่องนี้โดยส่วนตัวผมติดตามข่าวสารและได้ดูตัวอย่างครั้งแรกตั้งแต่ไปชมภาพยนตร์เรื่อง The Dark Knight Rises ที่โรงภาพยนตร์ IMAX แล้วรู้สึกตื่นเต้นและรอวันที่จะได้ดูของจริง ทั้งชื่อของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมคนนึงในวงการภาพยนตร์ยุคนี้เลยก็ว่าได้

Man Of Steel เล่าถึง Clark Kent หรือ Kal-El (แสดงโดย Henry Cavill ที่เคยแสดงเรื่อง Immortals , The Cold Light of Day) เด็กน้อยผู้ที่ถูกส่งตัวมาลี้ภัยจากดาวคริปตอนมายังโลก พร้อมแบกความหวังแห่งการอยู่รอด และเติบโตมาพร้อมปมเล็ก ๆ ที่ว่าตัวเองคือใคร พร้อมเดินทางตามหาความจริงของตัวตนจนได้พบกับ Lois Lane (นำแสดงโดย Amy Adams ที่ฝากผลงานเด่น ๆ ไว้อย่าง Enchanted , Julie & Julia) นักข่าวสาวแห่ง Daily Planet ที่มาพบความจริงพร้อมเขียนข่าวเกี่ยวกับเอเลี่ยน ก่อนที่จะพลาดให้กับ General Zod (นำแสดงโดย Michael Shannon) ที่รู้แหล่งกบดานที่ Kal-El ที่ส่งตัวมา (ก็คือโลกเรานี่หล่ะ)




Man Of Steel หรือที่รู้จักกันในนาม Superman เวอร์ชั่นนี้เป็นการตีความใหม่ทั้งหมดของหนัง Superman ที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ โดยผู้ที่อาสารับงานงานนี้ก็คือ Zack Snyder ผู้ที่เคยฝากผลงานยอดเยี่ยมไว้อาทิ 300 , Watchmen , Sucker Punch แถมได้โปรดิวเซอร์อย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน มารับหน้าที่ดูแลการผลิตทั้งหมด ทุกอย่างองค์ประกอบของหนังดีไปซะทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวอย่าง การโปรโมท จนทำเอาสาวกซุปเปอร์ฮีโร่หรือคนที่ชอบเสพหนังแอคชั่นและคาดหวังว่าจะเจอสิ่งนั้นแบบเต็บสูบ ขอพูดได้คำเดียวครับว่า...คุณคิดผิดหมดครับ

ขอเริ่มตั้งแต่เรื่องการแสดงก่อนนะครับ ตัวเอกถือว่าเล่นได้ค่อนข้างดี (ล่ำขึ้นเยอะมาก ๆ จากเรื่องก่อน) แต่แลดูไม่เข้ากับตัวนางเอกเอาซะเลย เพราะตัวนางเอกเรื่องนี้ ผมขอให้สอบตกครับ ทั้งการแสดงสีหน้าอารมณ์ การกระทำ มันดูไม่เข้ากับธีมหนังเอาซะเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่า คู่พระนางคู่นี้อายุห่างกันร่วม 10 ปี (ผู้หญิงแก่กว่า) ทำให้เคมีดูไม่ค่อยเค้ากัน แต่ที่ต้องขอชมคือตัว Michael Shannon ที่เล่นเป็น General Zod ที่เล่นได้ดีเอามาก ๆ จนบางครั้งผมอดลุ้นเอาใจช่วยตัวร้ายด้วยเลยทีเดียว

มาถึงเรื่องของบทหนัง จะพูดว่ามันเป็นการตีความใหม่ หรือยึดพล็อตการ์ตูนดั้งเดิมก็แล้วแต่ แต่ดูเหมือนผู้กำกับจะยังไม่สามารถเล่าเรื่อง หรือเดินเรื่องได้แบบราบลื่น ถึงแม้จะมีลูกเล่นในการเล่าสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบัน แต่มันกลับทำให้หนังเรื่องนี้ดูวกวน เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต จนไม่สามารถหาทางออกมาได้ เพราะหนังเล่นสับไปสับมาจนงงว่า อะไรมันสำคัญก่อนและหลังจนกล้าพูดว่ามันมั่วกันไปหมดเลย ทั้งเรื่องประเด็นการมายังโลกของ Superman ความต้องการสร้างดาวของ Genaral Zod จนดูว่าไม่มีประเด็นอะไรเด่นเลยแม้แต่น้อย 

แถมด้วยการดำเนินเรื่องที่อืดอาด ยืดเยื้อ จนบอกได้ว่า โครตน่าเบื่อ เป็นเวลาเกือบชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้ที่หนังยังไม่สามารถจับทางของตัวมันเองว่าต้องการไปทางทิศทางไหนกันแน่ บางสิ่งก็ดูเหมือนง่าย บางสิ่งก็ดูเหมือนยาก จนผมเชื่อว่าต้องมีบางคนแอบงีบหลับแน่ ๆ (ผมคนนึงที่เกือบหลับถึง 3 ครั้ง พูดจริงจากใจ ไม่ได้รู้สึกง่วงกับการดูหนังตั้งแต่องค์บากภาค 2 กี่ปีลองนับเอา) 

มาถึงฉากแอคชั่นที่หลายคนถวิลหา ผมคนนึงที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแอคชั่นที่ไม่เหมือนหนังทั่วไปเพราะด้วยตัวของผู้กำกับก็รู้ ๆ อยู่ว่าแนวเป็นแบบไหน แต่ผมกลับรู้สึกผิดหวังแบบสุด ๆ ๆ เพราะหลายเรื่องที่ผ่านมาของ Zack Snyder ทำแอคชั่นได้มันมากอย่างเช่น 300 แต่กับหนังเรื่องนี้ มันคือแอคชั่นหลอกเด็ก ป.4 ชัด ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแต่เสียงตูมตามตลอดจนหารายละเอียดไม่ได้ แถมด้วยเรื่องของการตัดต่อต่าง ๆ นา ๆ ที่ทำเอาเวียนหัว ดูไม่รู้เรื่องว่ามันทำอะไรกัน บอกได้คำเดียวคือแอคชั่นทุเรศเอามาก ๆ

สรุปโดยรวมแล้ว Man Of Steel ถือเป็นหนังปฐมบทของการตีความใหม่ซุปเปอร์ฮีโร่นาม Superman ที่หาจุดยืนและทางออกไม่เจอจนมั่วไปหมด ทั้งประเด็นความขัดแย้งของดาวคริปตอน ทั้งการมายังดาวโลก ทั้งการมาเพื่อยึดครองที่ไม่มีอะไรชัดเจนซักอย่าง มีอยู่สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือ การสอนให้รู้ว่าเด็กที่เกิดมานั้นควรจะมีทางเบือกในการใข้ชีวิตของมัน ไม่ใช้สร้างเพื่อให้เป็นอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการ แต่ประเด็นความหมายแค่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถลบล้างกับหนังทั้งเรื่องได้เลยแม้แต่น้อย เพราะพูดจริง ๆ ว่าหนังโหนกระแสแค่การโปรโมท ธีมของเรื่องยังคงคล้ายรายเซ็นของผู้กำกับ แต่ไม่แน่ใจว่าโปรดิวเซอร์มาล้วงลูกในการคุมธีมหนังหรือเปล่า จึงทำให้หนังออกมาที่ดูไม่เป็นสัปรสเอาเสียเลย


ปล.หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 24 นาที ซึ่งถือว่ายาวเกินไปสำหรับหนังเรื่องนี้ ใครที่จะไปดูขอแนะนำทำตัวให้พร้อม เพราะถ้าไม่พร้อมคุณจะหลับได้ทันที แถมเชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องมีคำถามที่ว่า กางเกงในสีแดงของ Superman หายไปไหนก็เป็นได้ และผมมั่นใจเลยว่า หนังเรื่องนี้ต้องมีเข้าชิงรางวัล ภาพยนตร์ยอดแย่ หรือมีเอี่ยวกับเวที Razzie Awards ปีหน้าอย่างแน่นอน


(4/10)
Jurassic Park


ผัดกระเพราเพิ่มไข่ดาวบนจานใบใหม่


          ก่อนอื่นขอเกริ่นเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คนที่ทันดูจริง ๆ และเข้าใจตั้งแต่แรกจะต้องมีอายุ 30 ปีขึ้นไปอย่างแน่ ๆ นอน ๆ (หนังเรื่องนี้กำเนิดเมื่อปี 1993 ซึ่งตอนนั้นผมยังเด็กอายุ 7 ขวบ ได้ดูแต่ก็ยังไม่เข้าใจ โตขึ้นถึงก็เข้าใจเนื้อหาของหนังเพราะได้ดูมาแล้วหลายต่อหลายรอบ) ดังนั้นผมจะไม่ขอพูดในเรื่องของบทหนัง การแสดง และเนื้อหาเพราะเชื่อว่าหลายต่อหลายคนดูกันมาไม่ต้ำกว่า 3 รอบแน่นอน

          Jurassic Park เป็นหนังที่กำกับโดยพ่อมดแห่งฮอลลีวูดอย่าง "Steven Spielberg" ซึ่งก็ไม่ต้องบรรยายแล้วว่าเค้าคือใครทำอะไรมาบ้าง กับหนังที่ฮือฮาเมื่อ 20 ก่อนแล้วที่เค้าปลุกไดโนเสาร์ล้านปีมาโลดแล่นบนแผ่นพิล์ม ทำเอาตื่นเต้นมาก ๆ ในยุคนั้น




          มาในเวอร์ชั่น 2013 เป็นฉบับที่ไม่เรื่องว่า "รีเมค" แต่มันคือการ "รีมาสเตอร์" จากหนัง 35 มม. กลายมาเป็น "ไฮเดฟฟินิชั่น" พร้อมระบบใหม่นั่นก็คือ 3D เพื่อเพิ่มความสนุกให้เข้ากับยุคสมัย
(คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ 3 ที่นำหนังเก่ามาทำเป็น 3D ต่อจาก Star War I กับ Titanic) 

          ในเรื่องของการนำมาทำในระบบใหม่ถือว่าทำได้ดีในระดับนึงเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะต้นฉบับของหนังก็ไม่ได้คิดหรือมีมุขลูกเล่นในแบบ 3D มากอยู่แล้ว แต่ก็สามารถเพิ่มอรรถรสได้ในระดับนึงสำหรับคนที่อาจจะยังไม่เคยสัมผัสหนังได้โนเสาร์เรื่องนี้ ก็เป็นอีกประสบกาณ์นึงที่ควรค่าแก่การดู แต่ถ้าถามว่าจำเป็นต้องดูมั้ย ขอบอกว่าไม่เลยเพราะมันก็คือหนังเก่าที่เรารู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ถ้าใครอยากจะลองไปชมเป็นแบบ 3D ก็ต้องไปลองเอาเองแล้วกัน


          ดังนั้นผมขอแนะนำว่าใครที่อยากจะดูหนังเรื่องนี้อีกซักครั้งขอแนะนำให้ดูที่โรงภาพยนตร์ IMAX เท่านั้น ไม่แนะนำให้ดูในโรงธรรมดา เพราะ IMAX สามารถตอบโจทย์อะไรได้เยอะทั้งเรื่องของเสียงและภาพเสมือนคุณได้อยู่ในโลก Jurassic Park แถมจับต้องได้บ้างบางฉาก แต่สิ่งที่เป็นข้อเสียหรือเป็นเพราะยังไม่พร้อมของโรง IMAX บ้านเราคือ ซับไตเติ้ลที่ไม่มีมาตราฐานเอาซะเลย แต่เรื่องนี้ถือว่าพอให้อภัยได้เพราะเนื้อเรื่องหนังนั้นรู้เรื่องหมดแล้ว ถ้าอยากเข้าไปชมนวัตกรรมใหม่ก็โอเค (ส่วนตัวดู IMAX มาหลายเรื่อง พูดจริง ๆ บางเรื่องซับแม่งตัวเท่ามด บางเรื่องก็ใหญ่ชิบหาย แต่ Jurassic Park ซับจางมากจนมองไม่เห็น แนะนำไม่ต้องอ่านดูภาพอย่าเดียว)

          Jurassic Park ถือว่าเป็นหนังขึ้นหิ้งและอยู่ในดวงใจของใครหลาย ๆ คนโดยเฉพาะคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่ใครอยากเห็นไดโนเสาร์กลับมาโลดแล่นบนจอเงินอีกครั้งก็ไม่ควรพลาด แต่มันก็ไม่ต่างจากกระเพราะที่เพิ่มไข่ดาวบนจานใบใหม่หรอกนะครับ


          เรื่องนี้ของดออกดาว แต่จะให้ดาวในเรื่องของ 3D (6/10)
Star Trek Into Darkness


สงครามอวกาศที่ไร้รอยต่อ


ก่อนอื่นขอออกตัวเลยว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้อย่าง Star Trek แต่อย่างใด ทั้งตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่เคยดูจบซักภาคหรือจะเป็นซีรี่ย์ก็ไม่เคยติดตาม แต่ที่ผมอยากดูเรื่องนี้เพราะชื่อของผู้กำกับเท่านั้น และก็ได้ติดตาม Star Trek เวอร์ชั่นของ เจ.เจ.อับรามส์ตั้งแต่ภาคที่แล้ว

              Star Trek Into Darkness สตาร์เทรค ทะยานสู่ห้วงมืด เมื่อลูกเรือของยานเอนเตอร์ไพรส์ได้ถูกส่งตัวกลับมาถึงดาวโลก พวกเขาได้เผชิญกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวและยากจะหยุดยั้งที่เกิดขึ้นภายในองค์กรของพวกเขาเอง มันได้ทำลายกองยานรบและทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้โลกเข้าสู่สถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง

              ด้วยความที่เป็นดาวบ้านเกิดของตัวเอง กัปตันเคิร์กจึงรับหน้าที่ในการนำทีมสู่พื้นที่สงครามเพื่อไล่ล่าคนร้ายที่ ครอบครองอาวุธมหาประลัยในขณะที่สงครามการไล่ล่าที่มีเดิมพันเป็นชีวิตและความตายดำเนินไปนั้น ความรักก็ถูกท้าทาย มิตรภาพก็ถูกหั่นสะบั้น และการเสียสละของเหล่าผู้คนที่เปรียบเสมือนครอบครัวที่เหลืออยู่ของกัปตัน เคิร์ก นั่นคือ ลูกเรือของเขา จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

              โดยภาคนี้ยังคงเป็นการกำกับของ เจ.เจ.อับรามส์ ผู้กำกับอัจฉริยะคนนึงในวงการภาพยนตร์ ซึ่งเคยฝากผลงานอย่าง Mission: Impossible III , Super 8 (ชอบเรื่องนี้ของเฮียแกมาก) และ Star Trek ภาคที่แล้วเมื่อปี 2009 โดยมาในภาคนี้ เจ.เจ.อับรามส์ ก็ยังคงเส้นคงวาในการเล่าเรื่องตามสไตล์ของตัวเอง คือ เรื่องของรายละเอียดปลีกย่อยที่สามารถเล่าและเดินเรื่องได้อย่างแนบเนียนและไม่งงเลย ถือว่าหนังอาจจะเดินเป็นเส้นตรงแต่เราก็ยังพอเห็นปมบางอย่างจนบางครั้งก็จับทางไม่ได้ โดยเฉพาะในภาคนี้ที่ต้องถือเป็นจุดแข็งเลยก็คือการมุ่งเน้นไปที่สายสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้เข้าขาและกลมกลืนอย่างลงตัวมาก และสร้างความระทึกทั้งฉากแอคชั่น และปมต่าง ๆ จนเกือบทำเราแทบหยุดหายใจก็เป็นได้ 

              ถือว่าในเรื่องของฉากแอคชั่นต้องเป็นอะไรที่ขอชมเลย เพราะถือว่าเป็นหนังแอคชั่นไซไฟที่สนุกต้องแต่ต้นจนจบที่หาดูได้ยากมาก ๆ กับหนังที่มุ่งเน้นขายแต่ฉากเดิม ๆ ในปัจจุบัน คอไซไฟเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง และในเรื่องของตัวละคร ถือว่าผู้กำกับทำออกมาได้ดีมาก เพราะตัวละครทุกตัวไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย สามารถแชร์บทให้กับทุกตัวละครได้อย่างลงตัวจนทำให้เราลงอินไปกับความสัมพันธ์ของเหล่าลูกเรือเอนเตอร์ไพน์ และลุ้นระทึกไปกับเนื้อเรื่องได้ตลอดเวลา

              ส่วนในด้านของนักแสดง คริส ไพน์ ในบท เจมส์ เคิร์ก ก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเหมือนในภาคแรก แซคคารี่ ควินโต้ ในบท สป็อก ถือว่าเล่นได้ถึงเนื้อถึงหนังมาก และ 2 ตัวละครนี้สร้างมาเพื่อกันและกันทุกทาง ทั้งเรื่องของลูกน้องกะกัปตัน เพื่อนกับเพื่อน ถือว่าทั้ง 2 เล่นได้อย่างเข้าขาและมีเคมีที่ตรงกันแบบสุด ๆ ส่วนของ เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ ในบทของ ข่าน ตัวร้ายของเรื่องในภาคนี้ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีทั้งในด้านของอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งเศร้า กลัว หรือแม้แต่การหักหลัง เล่นเอาตีบทแตกของคำว่าคนตอแหลแบบมีเหตุผลกันเลยทีเดียว ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีทุกตัว ต้องขอชมผู้กำกับในเรื่องของการแชร์บทนี่หล่ะ และการพูดรับส่งของตัวละครที่ใครได้ดูแล้วจะหัวเราะของมาอย่างไม่ตั้งใจก็ว่าได้

              ส่วนสิ่งที่เป็นจุดเสียใหญ่อย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของบทภาพยนตร์ ที่ยังแลดูแล้วอ่อนเกินไปในเรื่องของสงคราม การแก้แค้นของตัวร้าย ที่ดูแล้วประเด็นของมันไม่ได้หนักหรือมันดูมีเหตุผลน้อยจนเกินไป แถมยังใส่เนื้อหาเรื่องของกฎสตาร์ฟลีทแบบผ่าน ๆ หรือเรื่องของการเมืองระดับสหภาพดวงดาวน้อยจนเราไม่รู้กฎหรือเหตุผลของมันว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ตัวร้ายต้องมาแค้น มันเหมือนเป็นการยัดเยียดสงครามจนมากเกินไปจนดูแล้วบางครั้งบทหนังก็ไม่ได้ส่งให้หนังสนุกเลยเอาซักนิด

              แต่สรุปโดยรวมแล้วถึงแม้ตัวบทจะยังดูอ่อน แต่หนังก็ชดเชยด้วยเรื่องของฉากแอคชั่น ความตื่นเต้นตั้งแต่ต้นจนจบ บทของตัวละครที่เข้าขากันและฮาไปในตัว ถือเป็นหนังแอคชั่นไซไฟที่หาดูยากในยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง และเป็นที่น่าเสียดายว่า ภาคนี้จะเป็นภาคสุดท้ายของ เจ.เจ.อับรามส์ ที่จะทำหนังในซีรี่ย์ Star Trek เพราะเฮียแกจะไปกำกับหนังอวกาศคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Star War 7 แล้ว ถึงแม้ Star Trek จะเป็นหนังที่ไม่ได้ต่อเนื่องกันระหว่างภาค แต่ยังที่ เจ.เจ.อับรามส์ ได้ปูไว้มันก็คือการเดินหน้าต่อไปของเหล่าลูกเรือเอนเตอร์ไพน์ ถือว่าเป็นการโยนขี้ให้กับผู้กำกับคนต่อไปอย่างรุนแรง เพราะถ้าไม่สามารถทำได้ดีเหมือนกับคนก่อนแล้วนั้น คงโดนเหล่าแฟนคลับหรือคนที่ชื่นชอบ 2 ภาคที่ผ่านมาด่าเอาแน่ ๆ เลย (แนะนำไปเชิญเฮีย คริสโตเฟอร์ โนแลน มาทำต่อ รับรองมีประเด็นหนัก ๆ แน่)

              ปล. ขอแนะนำให้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในระบบดิจิตอล 3D เพราะหนังค่อนข้างขายฉาก 3D อยู่พอสมควรแต่ไม่ใช่3D ไร้สาระเหมือนหนังหลาย ๆ เรื่อง และไม่รู้อันนี้เหตุผลส่วนตัว แนะนำให้ชมในโรงภาพยนตร์ในเครือ SF เพราะมีความรู้สึกว่าระบบเสียงของ SF จะดีกว่า Major ยังไงไม่รู้ (ดูเรื่องนี้ที่โรง 4 SF พระรามเก้า จอใหญ่เหี้ย ๆ และระบบเสียงดีโคตร ๆ ) แต่อันนี้ก็นานาจิตตังไม่ได้มีเรื่องของการตลาดแต่อย่างใด แต่เท่าที่ไปดูมาหลาย ๆ เรื่อง แค่รู้สึกว่าระบบเสียงของ SF จะดีกว่ามานานมากแล้วด้วย ยิ่งหนังที่มีซาวด์หลากหลายอย่าง Star Trek แล้ว แนะนำ 3D ในโรง SF ครับ
(8/10)
Iron Man 3

Hero ผู้หวาดกลัวในบางสิ่ง


หลังจากที่ไม่เวลาดูหนังเนื่องจากเหตุอันใดมิทราบ เรื่องก่อนหน้านี้ที่ดูก็พี่มากขาาาา เมื่อวานนี้เลยมีเวลาที่จะได้ดูหนังที่เค้าบอกว่าทั้งโลกรอคอย (ยกเว้นผม) กับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ 1 ในจักรวาลของ "มาเวล คอมิค" ฮีโร่จ้าวสำราญ เพลบอย บ้านรวย อัจฉริยะ เป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งโลก คือพูดง่าย ๆ มึงเกิดมาไม่ต้องทำห่าก็มีหญิงเข้ามา มีเงินใช้เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคมอยู่แล้วอ่ะนะ

              โดยภาคนี้จะเป็นเรื่องราวที่ต่อจากเหตุการณ์เอเลี่ยนบุกโลกที่นิวยอร์ก "The Avengers" เล่าเรื่องชีวิตที่สับสนของ โทนี่ สตาร์ก (โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์) แต่หลังจากศึกที่นิวยอร์กทำให้เขาเกิดความกลัวว่าเขาจะสามารถปกป้องคนที่เขารักได้หรือไม่ จนเกิดเป็นความเครียดในที่สุด เขาใช้เวลาหมกมุ่นกับการสร้างชุดเกราะแบบใหม่ ๆ ขึ้นอีก 42 ตัว เพื่อให้เขาเชื่อมั่นมากขึ้น แต่นั่นกลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ เพพเพอร์ พ็อตส์ (กวินเน็ธ พอลโทรว์) มีปัญหา จนวันหนึ่งโลกก็ได้เผชิญหน้ากับ แมนดาริน (เบน คิงส์ลี่ย์) ศัตรูคนใหม่ที่หมายมั่นกำจัดเขา ในขณะที่บุคคลในอดีตที่เขาลืมไปแล้วก็กลับมาหาพบเขาอีกครั้งทั้ง อัลดริช คิลเลี่ยน (กาย เพียร์ซ) และ มายา แฮนเซ่น (รีเบคก้า ฮอลล์) กับเทคโนโลยีเอ็กทรีมิสที่อาจเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของโลกนี้




              ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย "เชน แบล็ก" ที่รับหน้าที่ทั้งเขียนบทและกำกับเอง เคยมีผลงานมาแล้วจากเรื่อง "Kiss Kiss Bang Bang" พร้อมกับเคยร่วมงานกับ "โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์" โดยมาในหนังเรื่องนี้ผู้กำกับพยายามจะตีความของภาพลักษณ์ไอรอนแมนให้ใหม่ จากความเป็นเพลงบอยกลายเป็นคนจริงจัง จิตตก จนอาจทำให้เราลืม "โทนี่" คนเก่าไปเลยก็ได้ แต่ก็ยังไม่หมดเพราะยังคงเหลือความยียวนกวนประสาทเช่นเดิมแต่ในคราบของโรคคนเครียด ซึ่งแลดูแล้วไม้ได้มีความเข้ากันซักเท่าไหร่

              สิ่งที่ทำได้ดีของหนังเรื่องนี้เลยคือ ในเรื่องของฉากแอคชั่นต่าง ๆ ต้องบอกว่าเป็น "ไอรอนแมน" ที่มีฉากแอคชั่นนานที่สุดของแต่ละซีนก็นาน แล้วอาจจะมันที่สุดก็ได้ ทั้ง แต่ยังไม่นานเท่า "The Avengers" ถ้าเทียบในจักรวาลมาเวลด้วยกัน เพราะภาคนี้คุณจะได้เห็นชุดเกาะออกมาสู้ด้วยตัวเองถึง 42 ชุด เลยทีเดียว แต่มันก็มีดีแค่ด้านนั้นด้านเดียวจริง ๆ

              เพราะถ้าให้พูดถึงตัวบทบอกได้เลยว่า มันอ่อนเอามาก ๆ ทั้งในเรื่องของตัวร้ายที่ไม่มีเหตุและผลที่จะมาสู้กับไอรอนแมน และหนังก็ไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้ "ไอรอนแมน" ประกาศสงครามกับแมนดารินเอาซะเลย ซึ่งต่อให้มีเหตุผลของมันแต่ก็บอกได้ว่ามันอ่อนเอามาก ๆ และในเรื่องของพลังเทคโนโลยีของตัวร้ายภาคนี้อย่างเทคโนโลยีเอ็กทรีมิส ถือว่ามีความน่าสนใจส่วนนึงแต่แลดูแล้วมันพิลึกและมันทำให้คิดถึงการดัดแปลงมนุษย์ให้เป็นพวกมิวแทนต์คล้ายกับ X-MEN มากจนเกินไป เพราะถ้าเราเห็นตัวร้ายภาคก่อน ๆ จะสู้โดยใช้เทคโนโนยีเครื่องจักรและมีเหตุผลในการสู้ แต่ภาคนี้กลับใช้วิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรม เรื่องของยีน เซล มาสู้พร้อมเหตุและผลว่าทำไมแมนดารินถึงมาสู้กลับไอรอนแมนนั้น แทบจะไม่มีประเด็นอะไรเลยที่จะมาฆ่ากัน แถมสิ่งที่ตัวร้ายนำมาใช้ก็ดู "เว่อ" จนเกินไป เหมือนกับมันจะหลุดกรอบของหนัง "ไอรอนแมน" ไปเลยก็ได้ แถมยังมีการยัดเยียด "เด็กผู้ชาย" ที่เข้ามาในชีวิตของ "โทนี่" ในยามลำบากแต่ยัดเยียดเด็กให้มีบทบาทอย่างไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะซีนทั้งคู่เจอกันครั้งแรก เด็กไม่รู้จัก "โทนี่" แต่ดันรู้จัก "ไอรอนแมน" ทั้ง ๆ ที่ทั้งโลกเค้ารู้กันหมด จะบอกว่าความเป็นเด็กเลยไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะเด็กคนนี้ก็มีสมองที่ฉลาดอยู่เหมือนกัน และที่บอกได้ว่าเป็นอะไรที่สอบตกเอาสุด ๆ ก็คือโทนของหนังที่ผู้กำกับพยายามเล่าหนังให้ดูดาร์ค ให้ดูมีอะไร ให้ดูมีปมเหมือนหนังจากค่าย "DC" มากจนเกินไปและไม่มีความเข้ากันเอาซะเลย ซึ่งถ้าหากทำให้ตัว "โทนี่" เป็นแบบเดิมแต่เจ้าชู้น้อยลงยังจะดีเสียกว่านี้ด้วยซ้ำ

              ในเรื่องของตัวละคร "โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์" ก็ยังคงมอบการแสดงที่ยอดเยี่ยมให้เราได้ชม ถึงแม้จะเป็นการปรับบทแต่ก็แสดงได้ดี "กวินเน็ธ พอลโทรว์" ในบทของ "เพพเพอร์ พอตส์" ถือว่าเล่นได้ดีในระดับนึงแต่ยังไม่ถึงขั้นดีมากเช่นเดิม ส่วน "ดอน ซีเดิล" ในบทของคู่หู "ไอรอนแมน" ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีแต่เคมีของเค้ามันก็ยังไม่เข้ากับ "โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์" ตั้งแต่ภาคที่แล้ว ส่วนที่ต้องชมเลยว่าคนที่เล่นได้ดีเยี่ยมที่สุดและน่าจดจำเลยคือ "เบน คิงส์ลี่ย์" กับบท "แมนดาริน" ที่เล่นได้ดีและตีบทแตกเอามาก ๆ ใครได้ดูแล้วจะอมยิ้มกับตัวละครตัวนี้แน่ ๆ กับอีกคนคือ "กาย เพียร์ซ" กับบท "อัลดริช คิลเลี่ยน" ก็ทำหน้าที่ตัวร้ายได้น่าหมั่นใส้แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาสู้กัน

              ส่วนที่ผมชอบอีกจุดนึงของหนังเรื่องนี้ไม่รู้มีใครสังเกตุรึป่าว หนังได้เสียดสีเรื่องการเมืองไว้ค่อนข้างแสบเอาเลยหล่ะ ทั้งในเรื่องของเหตุและผลของ "ผู้ก่อการร้าย" การสร้าง "ผู้ก่อการร้าย" การออกคลิปหรือทีวีให้ระทึกและเรื่องของ "ปธน.สหรัฐ" ที่เสียดสีเรื่องการเมืองและน้ำมันได้แบบแสบเอามาก ๆ ขอชมตรงจุดนี้

              ถือว่า "ไอรอนแมน 3" เป็นไตรภาคที่จบได้สวยงามในระดับนึง ที่มีแง่คิดต่าง ๆ มากมายอยู่พอสมควรแล้วแต่ใครจะจับทางได้ ทั้งในเรื่องของคู่รักที่ไม่มีเวลาให้กัน ทั้งเรื่องของเหตุใด "โทนี่" ถึงสร้างเกาะมามากมาย เหตุเพราะตัวเขาเองไม่มั่นใจว่าตัวเองจะปกป้องคนรักได้มั้ย แต่มันก็เป็นอีกมุมของซุปเปอร์ฮีโร่ทุกตัวว่า เพราะอะไรพวกเค้าเหล่านั้นต้องสวมหน้ากาก แต่โทนี่เลือกที่จะสร้างเกาะและทำลายมันเพราะอะไร เป็นมุมมองความรักที่ดูดีแต่ในเรื่องกลับยัดเยียดเรื่อง "รัก 3 เศร้า" ที่ก็ไม่ได้เข้ากับหนังเอาซะเลย

              สรุปว่า "ไอรอนแมน 3 " เป็นหนังแอคชั่นมัน ๆ ที่พยายามจะทำตัวให้ดาร์คและมีปมมากเกินไปจนไม่สำเร็จ และยัดเยียดอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่ได้เข้ากันเอาซะเลย จะมีดีก็ตรงแอคชั่นที่ค่อนข้างมาเต็มกับประเด็นเสียดสี "ผู้ก่อการร้าย" กับ "ปธน.สหรัฐ" และเรื่องของคนรักกัน พอดูมัน ๆ ได้ต่อย่าไปคาดหวังอะไรเยอะ

              ปล.ใครที่ยังไม่ดูกรุณาดูจนจบเครดิตนะเพราะหนังมันจะไม่บอกให้เรานั่งแต่ แต่ก็แค่มุขเล็ก ๆ ของหนังมาเวลซึ่งทุกเรื่องจะโยงไปอีกเรื่อง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่เซอร์ไพรเล็กน้อยเท่านั้น และน่าติดตามว่า "ไอรอนแมน" จะกลับมาใน "The Avengers 2" อย่างไร

(6/10)
พี่มากพระโขนง

หนังผีร่วมสมัยในความสร้างสรรค์บนความจำเจ

            ประเทศไทยเราหนังที่ขายดีและเป็นที่นิยมที่สุดคงจะหนีไม่พ้น หนังผี หนังรัก และหนังตลก ที่จะนำเสนอและการแสดงต่าง ๆ หลากหลายทั้งในแง่บวกและแง่ลบ พร้อมจะทำให้เป็นที่จดจำและเพิ่มยอดขายให้กับตัวเอง

            พี่มาก...พระโขนง เล่าถึงพี่มากที่ต้องลาจากเมียรักอย่าง "นาค" เพื่อไปทำสงครามโดยไม่รู้ความเป็นอยู่ของเมียว่าเป็นอย่างไร จนกระทั่งตัวกลับมาพร้อมสหายร่วมรบอย่าง เต๋อ,เผือก,ชิน,เอ และวันดีคืนดีเพื่อน ๆ กลับรู้ความจริงว่าเมียเพื่อนนั้นเป็น "ผี" แล้วอยากจะบอกความจริงให้เพื่อนได้รับรู้ด้วยวิธีต่าง ๆ นา ๆ จนนำมาสู่ความฮาของเรื่องนี่เอง


              ผมเชื่อว่าทุกคนคงไม่มีใครไม่รู้จักกับตำนานรักอมตะบนความสยองขวัญแห่งทุ่งพระโขนงแน่ ๆ แต่หนังเรื่องนี้คือการตีความเล่าเรื่องใหม่เกือบทั้งหมด จากความน่ากลัวกลายเป็นความน่ารักและความร่วมสมัย เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย พี่โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล ที่เคยฝากผลงานมาเกือบทุกแนวทั้ง "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" หรือ "กวน มึน โฮ" คือผลงานก่อนของเค้า โดยการนำของ 4 นักแสดงจาก คนกลางและคนกองของ 4 และ 5 แพร่ง มาเป็นตัวชูโรงและดำเนินเดินเรื่องเกือบทั้งหมดของหนัง 

             โดยจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ความร่วมสมัย ที่ใส่เข้ามาในตัวหนังที่ถ่ายทอดออกมาแนวประวัติศาสตร์ เพราะถ้าเราคิดถึงหนังผีสมัยโบราณก็จะนึกถึงคำพูดคำจาที่โบร้าน โบราณ แต่เรื่องนี้ผู้กำกับกล้าที่จะฉีกแนวโดยเอาความร่วมสมัย ประเพณีในปัจจุบันไปยัดเยียดเข้ากับในอดีต ทั้งเรื่องของบทสนทนา มุขตลกร้าย การกระทำและคำพูดที่หยาบคาย พร้อมกับการเสียดสีกัดจิดสังคมในปัจจุบันนิด ๆ ในเรื่องของร้านเหล้า (เป็นซีนเดียวในหนังที่ผมดูแล้วฮาได้เต็มปอดที่สุด คือซีนร้านยาดองปั่น) จนทำให้การเล่าเรื่องของหนังผีเรื่องนี้เป็นอารมณ์ที่คายเครียดและสนุกกับมันในเรื่องราวของความรักแห่งทุ่งพระโขนงพร้อมกับความไร้สาระไปในตัว

            ในเรื่องของการแสดงที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ต้องเป็นเรื่องของคู่พระนางในเรื่องนั่นคือ มาริโอ้และใหม่ ดาวิกา ที่ทั้งคู่เล่นได้อย่างเข้ากันเป็นเคมีที่ลงตัวมาก ๆ (ไม่แปลกที่จะมีข่าวจิ้นกัน เพราะถ้าผมเป็นมาริโอ้ก็คิดเหมือนกัน) โดยมาริโอ้ยังคงรักษามาตราฐานการแสดงของตัวเองได้เป็นอย่างดีคือ เล่นไม่ห่วงหล่อ (ไม่เหมือนศิลปินนักแสดงหลาย ๆ คนที่เล่นไปห่วงหล่อไป) และเล่นในซีนอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนใหม่ ดาวิกา ต้องยอมรับว่านี่คือ "แม่นาค" ที่ดูแบ๊ว เนียนและน่ารักที่สุดที่เคยเห็นมาก็ว่าได้ แม้บทพูดของเธอจะดูน้อย แต่การแสดงสีหน้าโดยเฉพาะตาก็ทำให้คนดูเคลิ้มพร้อมกับกลัวไปในตัวด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยคือแก๊งค์คนกลางและคนกอง หลังจากที่เคยได้เล่นเพียงหนังสั้น มารอบนี้คือการจัดเต็มของพวกเค้าเลยก็ว่าได้ พร้อมโขมยซีนและดูโดดเด่นกว่าคู่พระนางเสียด้วยซ้ำ

            แต่สิ่งที่อยากพูดมากที่สุดเลยก็คือ ความจำเจของมุขตลกที่หนังไทยทุกเรื่องยังหนีไม่พ้นของเรื่อง มุกคำหยาบ มุขเจ็บตัว จนเราจับทางของมุขเหล่านั้นได้แล้ว เพียงแต่หนังเรื่องนี้มีความพิเศษกว่าเรื่องอื่นคือ ยังมีคำพูดมุขตลกที่เป็นตลกร้ายเข้ามาโดยที่ไม่ซ้ำซากสักเท่าไหร่ และถ้านำมันมาเปรียบเทียบกับหนังเรื่องล่าสุดก่อนเรื่องนี้ของพี่กำกับ ผมมองว่าเป็นความผิดพลาดหรือความตันก็ไม่แน่ใจถึงคิดนำเอาของเก่ามาขยายความนั่นก็คือ พี่มากพระโขนงนี้คือการถอดด้ามทั้งมุขตลกและเนื้อเรื่องที่หักมุมมาจาก คนกลางและคนกองมาทั้งดุ้นแต่ขยายความให้เป็นหนังยาวเพียงเท่านั้น จนบางครั้งมันทำให้ความสนุกหายไปส่วนนึง แต่ยังดีที่ตัวหนังทำได้ดีในเรื่องของอารมณ์ ฉาก และบรรยากาศที่ทำให้เราได้กลัวและซึ้งไปในตัวกับเรื่องราวของความรักถึงแม้มันจะไม่สุดทางก็เถอะ

            พี่มาก...พระโขนงเป็นหนังน้ำดีในอารมณ์ Feel Good อีกเรื่องที่ดีและน่าดูถึงแม้มันจะเป็นการนำของเก่ามาเล่าใหม่พร้อมขยายความก็ตาม พร้อมกับข้อคิดถึงเรื่องความรักของคน 2 คนที่ไม่แบ่งเพศ ชนชั้น ที่ทำให้เราคิดว่าถ้าเกิดคุณรู้ความจริงอะไรสักเรื่องที่เป็นเรื่องร้ายแรงของคนที่คุณรัก (เรื่องนี้คือผี) คุณยังจะสามารถรับเค้าได้อยู่หรือไม่


(7/10)


Djungo Unchained

เกมส์ RPG ในคราบมาสล้างโคตร

หลังจากไม่ได้เขียนวิจารณ์หนังเล่น ๆ มาพอสมควรเพราะช่วงนี้ไม่มีหนังน่าสนใจเลย วันนี้เป็นโอกาสอันดีงามที่จะได้เขียนวิจารณ์หนังเรื่อง Djungo Unchained เสียหน่อย

             แต่ก่อนจะเข้าบทวิจารณ์ขอพูดระบายจากใจ วันนี้ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์เอสพานาด รัชดา ขอบอกได้คำเดียวจากใจคนที่เคยทำงานบริการที่โรงหนังมาเป็นผู้ใช้บริการว่า กูจะไม่ไปเหยียบโรงหนังนี้เป็นครั้งที่ 2 แน่นอนถ้าไม่มีความจำเป็นหรือมีหนังที่อยากดูแล้วเข้าเฉพาะที่นั่นกูถึงจะไปเหยียบ (ถ้าอยากรู้เรื่องถามมาได้นะครับว่าสาเหตุเกิดจากอะไร)

             Django Unchained เป็นหนังที่กำกับโดยผู้กำกับสุดแนวอย่าง "แควนติน ทาแรนติโน่" ที่เคยฝากผลงานสุดกวน อาทิ Reservoir Dogs , Kill Bill 2 ภาค , Inglourious Basterds (ชอบเรื่องนี้สุด ๆ) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1858 2 ปีก่อนสงครามกลางเมืองอเมริกา ยุคที่คนดำเป็นที่รังเกียจเหยียดหยามคนขาว หนังเล่าถึง "จังโก้" (แสดงโดย เจมี ฟ็อก) ที่ได้รับการช่วยเหลือจาก "ดร.คิง ชุทซ์" (แสดงโดย คริสตอปห์ วอลทซ์) นักล่าค่าหัว เพื่อให้มาเป็นผู้ช่วยในการชี้ตัวผู้ร้ายไม่ให้ผิดพลาด ได้ร่วมงานกันจน "จังโก้" ได้รับการฝึกกลายเป็นนักล่ามือฉมัง โดยดป้าหมายสุดท้ายคือการไปชั่วเมียรักนั่นเอง

             ตัวหนังเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง เดินตามทางหนังแอคชั่นทั่ว ๆ ไปโดยมีจุดมุ่งหมายของมันไม่ต่างจากหนังแอคชั่นเรื่องอื่น ๆ แต่ที่มันโดดเด่นเอามาก ๆ ก็คือการได้ดูหนังเรื่องนี้ เหมือนดั่งเราได้เล่นเกมส์แนวแอคชั่นกึ่งภาษา ที่เราจะต้องเดินเก็บเลเวลจนเราเก่งกล้าพอที่จะไปสู้กับบอสใหญ่อย่างมีสเต็ปโดยไม่โดดเลย จังหว่ะจะโทนของหนังก็เป็นอะไรที่ดูได้เพลิน ๆ มีคำพูดคารมคมคายและบทตลกร้ายที่กัดจิกกันได้ทั้งแสบทั้งคันมาก ๆ ด้านของบทหนังก็ไม่แข็งไม่อ่อนจนเกินไป เล่าเรื่องให้เราได้รู้ที่มาที่ไปของตัวละครอย่างไม่สับสนเลยสักนิด ด้านของมุมกล้องต้องบอกเลยว่ามันคือมุมกล้องที่เป็นลายเซ็นของ ""แควนติน ทาแรนติโน่" ที่หาตัวจับยากที่จะทำมุมกล้งได้น่าสนใจขนาดนี้ ด้านของคิวแอคชั่นก็ต้องบอกว่ามันคือเสน่ห์ของผู้กำกับคนนี้จริง ๆ หาคนลอกเลียนแบบยากมาก

             ด้านของการแสดง เจมี ฟ็อก เล่นได้อยากน่าติดตามมาก ๆ จนเราดูแล้วเห็นใจและสงสารในตัวของ "จังโก้" เอามาก ๆ แต่ที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ "คริสตอปห์ วอลทซ์" กับบทของนักล่าฆ่าหัว "ดร.คิง ชุทซ์" ที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและคิดว่าน่าจะเด่นกว่าตัวเอกอีกด้วยซ้ำ ที่แม้ว่าอาจจะเล่นได้ไม่แสบไม่คันเท่าเรื่อง "Inglourious Basterds" ที่หนังเรื่องนั้นเล่นเป็นตัวร้าย แต่ก็ยังสมควรได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมครั้งล่าสุดจริง ๆ ส่วนตัวที่ขโมยซีนจนเราลืมตัวละครทั้ง 2 คงหนีไม่พ้น "ซามวลเอล แจ็กสัน" ในบทของ "สตีเฟ่น" ทาสที่กวนตีนสุด ๆ ทำเอาฮาได้ทุกซีนที่มีพี่แก่เล่นในช่วงครึ่งหลังของหลัง

             หนังได้ให้ข้อคิดหลัก ๆ เลยคือเรื่องของมนุษยธรรม แนวคิดของคนขาว 2 กลุ่ม กลุ่มนึงที่คิดว่าคนดำมันคือเผ่าที่ไม่มีสมองใช้แต่กำลังมันจึงสมควรที่จะเป็นทาส พร้อมกับกดขี่ข่มเหงเลี้ยงดูยิ่งกว่าหมาข้างถนน กับอีกกลุ่มที่คิดว่าคนดำเค้าก็คือมนุษย์ที่มีเลือดและความรู้สึกเหมือนกับคนขาวจึงคิดที่อยากจะปลดปล่อยให้เป็นอิสระภาพและอยู่ร่วมโลกด้วยกันได้นั่นเอง

             โดยรวมของหนังบอกได้เลยว่ามันคือหนังแอคชั่นตะลุยฆ่า ความยาว 2 ชั่วโมงเกือบ 3 ในแบบฉบับสุดกวนตีนของผู้กำกับสุดแนวที่หาชมได้ยากในยุคของหนังที่ทำแต่ 3D เน้นกราฟฟิกสวย ๆ จนลืมเนื้อหาสาระไป หนังออกโทนกลิ่นไอเก่า ๆ แต่มีการนำดนตรีฮิปฮอปมาประกอบก็เป็นอะไรที่ได้อรรถรสพอสมควร เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมจริง ๆ


(9/10) ขอตัดคะแนนเรื่องของตัดต่อเสียงที่ดูหนังของแกทีไรอารมณ์จุดนี้ทุกที