วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ไอฟาย แต๊งกิ๊ว เลิฟยู้

ไอฟาย เออเร่อ

          จัดเป็นหนังที่ทาง  GTH  โหมกระแสโปรโมทกันอย่างอึกกระทึกคึกโครม  โหมแบบประมาณว่าหนังเรื่องนี้มันต้องเจ๋งที่สุดเท่าที่  GTH  สร้างมาเลยก็ว่าได้  บวกกับการขายชื่อผู้กำกับ และนางเอกร้อยล้านเข้าไปด้วยแล้วนั้น  บรรดาติ่ง  GHT  คงต้องยอมเสียเงินเสียเวลาต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อไปชมในโรงให้ได้  ซึ่งโดยส่วนตัวหลังจากได้ดูตัวอย่างแรกพูดได้คำเดียวว่า  เฮ่ย...นี่มันตลาดล่างเสียดสีชัด ๆ

            หนังเล่าเรื่องถึง  “เพลง” (ไอซ์ ปรีชยา พงษ์ธนานิกร)  ติวเตอร์ภาษาอังกฤษแสนสวยที่ดันไปรับปากกับลูกศิษย์ญี่ปุ่นอย่าง  “คายะ” (โซระ อ้อย)  ให้ไปบอกเลิกแฟนหนุ่มช่างซ่อมบำรุงอย่าง  “ยิม” (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์)  เพราะเจ้าตัวดันได้ไปทำงานที่อเมริกา บวกกับความไม่เข้าใจด้านการสื่อสารนอกจากเซ็กซ์  เพลงจะทำอย่างไรกับงานครั้งนี้ที่ดันทำให้ยิมโกรธจนต้องสอนภาษาอังกฤษเพื่อให้ยิมสามารถคุยและตามไปหาคายะให้จงได้


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย  “เมษ ธนาธร”  ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานสร้างชื่อจากหนังตลกโปกเสียดสีกลุ่มคน  “ชายขอบ”  อย่าง  ATM เออรัก เออเร่อ  กลับมาครั้งนี้ก็ยังคงดำเนินไปในทิศทางเหมือนเดิม  เพียงแต่แค่เปลี่ยนพล็อตเรื่องหยิบประเด็นด้านภาษามาเป็นสื่อในหนังเรื่องนี้  ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นประเด็นที่ผู้กำกับนั้นมาได้ถูกทางแถมยังเกือบจะมีประโยช์แล้ว  ถ้าหากเราไม่มองลึกลงไปว่า  มันไม่ต่างกับการเสียดสีสังคมคน  “โรงงาน”  เสียเท่าไหร่ว่าเป็นคนที่ไม่รู้ภาษาหรือการศึกษาน้อย  แต่ถ้าเน้นฮาไม่ซีเรียสก็คงถัว ๆ ไปกันต่อได้

            ในด้านการแสดงถือว่าตัวละครเอกทั้ง  2  สอบผ่านและสามารถเอาหนังให้อยู่หมัดทั้งเรื่อง  โดยเฉพาะครึ่งหลังของเรื่องที่ทั้ง  2  มีเคมีที่เข้ากันเป็นอย่างมากโดยที่ไม่ต้องพึ่งพานักแสดงคนอื่นเลยก็ว่าได้  แต่ในทางกลับกันนักแสดงตัวอื่น ๆ  ที่มีการโปรโมทออกมาทุกตัวที่เหลือนั้นผมให้  “สอบตก”  โดยสิ้นเชิง ขอไล่ทีละคน อาทิ โซระ อาโออิ  ที่เหมือนจะเอามาเพื่อสร้างสีสัน  แต่มันดันทำให้เห็นการตีค่าของผู้กำกับว่าสาวญี่ปุ่นก็ไม่ต่างอะไรจากดารา  AV  เอาเสียเลย, ตู่ ภพธร  หมดความหล่อไปโดยปริยายจากบทที่ไม่ส่งให้เค้าดูเลอค่ามากเท่าที่ควร,  โจ๊กโซคูล & เดอะแก๊งค์โรงงาน  โดยคนแรกถือว่าเอามาขายแค่หน้าฮา ๆ แต่การแสดงกลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน, น้องนิว กุลญาดา  เด็กสร้างชื่อจาก ATM 2  มารับบทแอ๊ว  ที่ถูกโหมกระแสให้แจ้งเกิด  แต่เอาเข้าจริงบทกลับไม่มีอะไรเหมือนดั่งเอาตัวละคร “ไบรส์”  จาก ATM 2 มาฉายซ้ำยังไงอย่างงั้น 
สุดท้ายตุ๊ยตุ่ย  ที่ไม่ต้องมีหนังก็คงไม่ล่มสลายเอาก็ได้  (ที่กล่าวมาทั้งหมดเพราะดันโปรโมทไว้สูง แต่เข้าไปดูดันไม่ได้รับผลตอบแทนเท่าที่ควร)

            เรื่องของบทภาพยนตร์บอกได้คำเดียวว่า  “แข็ง”  จนนำมาซึ่งจุดอ่อนของภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นจนจบ  เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าหนังแบ่งเป็น  2 Past คือครึ่งเรื่องแรกและหลัง  โดยครึ่งแรกนั้นเน้นไปที่ความฮาที่ไร้สาระ  ไม่ว่าจะเป็นตลกหมูกระทะ  คำพูดหยาบคาย  มุขเจ็บตัว  และ Dirty Joke  เกลื่อนไปหมดแบบไร้ทิศทาง  พร้อมทั้งการใส่ซาวด์ที่ไม่ต่างจากหนังผีตุ้งแช่  จนกลายเป็นหนังตลก 3 ช่าซะอย่างนั้น  ส่วนครึ่งหลังถือเป็นการปล่อยของชั้นดีของ  2  ตัวละครหลักที่โชว์ให้เห็นเคมีการแสดงอย่างเดียว  แต่บทหนังมันดันไม่นำพาเราไปให้ถึงจุดสุดยอดตรงนั้นนี่สิ  อีกหนึ่งจุดที่เห็นก็คือความย้อนแย้งในตัวนางเอกเองด้วยเพราะหนังถูกปูให้เห็นค่าของสิ่งของ  แต่จบกลับกลายเป็นอีกแบบ

            แต่หนังก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด  แต่หนังยังแทรก  Symbolic  ไว้ให้เราได้เห็นจนมีความหมายที่ดีอยู่หลาย ๆ  ซีน โดยเฉพาะซีนที่เพลงจะถูกแอบถ่ายกางเกงใน  มันเป็นซีนที่ผมดูแล้วว่ามันน่ารักที่สุดเลยก็ว่าได้  (ไปสังเกตุเอา)  ก่อนจะเข้ามุขสกปรกจนต้องร้องยี้  นอกนั้นไม่ผ่านเลยหว่ะ

            หนังค่อนข้างดูถูกและเสียดสีจนเกินงามในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกลุ่มคนโรงงานไม่รู้แม้แต่  A – Z  คนงานต้องดูถ่อยเถื่อน  ผู้หญิงญี่ปุ่นต้องเหมือนดารา  AV  คุณหญิงคุณนายต้องทรงผมสมัย 100 ปีตีโป่ง  ชายในฝันต้องรูปงามดีเกินไป  แต่สุดท้ายหนังก็ยังพามาจุดพีคของการสอนหญิงเลือกคู่มาได้ว่า  เราจะเลือกคนที่สามารถบันดาลทุกอย่างมาให้  หรือต้องการพวกแค่คนที่ซ่อมแซมสิ่งที่เสียหายให้กลับมาใช้ได้  มันจึงอาจเป็นจุดซึ้งของหนังเรื่องนี้ที่สุดก็เป็นไปได้มั้ง 


            5 / 10  ถ้าไม่มีคาแรคเตอร์ของซันนี่ ความน่ารักของไอซ์ หนังก็คงไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Whiplash

อย่าเอาเทมโปของชั้นไป

          เปิดหน้าหนังโหมกระแสด้วยความดีงามจากปากนักวิจารณ์ต่าง ๆ  ทั้งว่าเป็นหนังสร้างแรงกระตุ้น  ทั้งเป็นหนังที่โหยหาความสำเร็จ  อีกทั้งยังการันรางวัลจนได้เกียรติฉายที่เมืองคานส์ยังไงยังงั้น  แต่จะว่าไปหนังที่เกี่ยวกับดนตรี  ที่ผ่าน ๆ มาให้เห็นนั้นก็ยังไม่มีเรื่องอะไรที่พามันไปสุดซักทาง  แต่ผิดกับเรื่องนี้ที่ไม่ได้พาเราไปจุดสุดยอด  แต่กลับเป็นนำพาไปสู่จุดเริ่มต้นต่างหาก

            หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของ  “แอนดรู”  เด็กหนุ่มมือกลองเบอร์  2  ของวงแจ๊ชที่ต้องการทำตามความฝันของตัวเอง  คือการเป็นที่ยอมรับและเป็นมือกลองอันดับ 1  ของโลก  ได้มาเจอกับ  “เฟรทเชอร์”  ครูสอนผู้เข้างวดที่อยากจะให้ลูกศิษย์ทุกคนได้ดี  ถึงแม้วิธีบางอย่างอาจจะดูฮาร์ดคอร์ไปเสียชิบ


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย  Damien Chazelle  ที่หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังยาวเรื่องที่  2  ของตัวเค้าเอง  โดยเรื่องนี้เคยเป็นหนังสิ้นมาก่อน  ก่อนที่ผู้กำกับจะทำให้มันยาวขึ้น  จนกลายมาเป็นหนังโรงที่คุณดูแล้วอาจจะรู้สึกดีบวกกับหดหู่พร้อม ๆ กันก็เป็นได้

            ในด้านของนักแสดง  ของชมเชยนักแสดงทั้ง  Mile Teller  และ  J.K.Simmons  ที่เล่นเข้าคู่กันได้เป็นอย่างดี  จนทำให้เราเหมือนได้เห็นคู่เพื่อนรัก  ศิษย์อาจารย์  หรือผัวเมียที่หมดรักกันในเวลาเดียวกันก็ได้  ถือว่าเป็นคู่ที่ไม่ใช่เล่นเป็นคู่รักที่มีเคมีได้เข้ากันอย่างลงตัว  และสามารถแบกรับหรังทั้งเรื่องโดยไม่ต้องสนใจตัวละครอื่น ๆ  เลย

            ในเรื่องของบทภาพยนตร์ถือว่าหนังเป็นอะไรที่เล่าเรียบง่าย  เป็นหนังที่มีความทะเยอทะยานในตัวเองสูง  และไม่ซับซ้อนเพราะอาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนขยายจากหนังสั้นเท่านั้น  แถมหนังยังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มของคนรักดนตรีอย่างเดียว  แต่บทมันสามารถสะท้อนอะไรที่ให้เราได้หลากหลายกว่าที่ควรจะเป็น  จนทำให้เหมือนเราไม่ได้แค่ดูหนังดนตรีเพียงอย่างเดียวเสียหน่อย

            จุดที่น่าสนใจของหนังก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของประเด็นของศิษย์กับครู  ที่เคี่ยวเข็ญอยากให้เด็กได้ดี  จนบางทีอาจจะลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ามันมากเกินไป  หรือน้อยเกินไป  หรือได้ถามเด็กบ้างหรือยังว่าเค้าต้องการเป็นใครหรือเป็นตัวเอง  หรือครูยัดเยียดความน่าจะเป็นให้  ซึ่งประเด็นนี้ของหนังถือว่าเป็นจุดขายที่ดีและน่าชื่นชมยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าเสียอีก

            หนังไม่ได้มอบแค่ความสุขเพลิน ๆ  ไปกับเสียงเพลง  แต่ยังได้ข้อคิดดี ๆ  ในเรื่องของการตามหาความฝันของตัวเอง  โดยหนังเลือกที่จะถามมากกว่าได้หาคำตอบกับสิ่งที่ทำลงไปว่า  ถ้าหากเป็นศิษย์  คุณเลือกที่จะเป็นอะไรกันแน่  หรือจะเป็นแบบไหนดีที่สุด  หรือหากเป็นครู  คำถามมันก็จะเกิดขึ้นว่า  ต้องการให้เด็กเป็นอะไร  เป็นตัวของตัวเอง เป็นบุคลที่  3  หรือเป็นในแบบที่ครูจงใจยัดเยียดกันแน่  นี่คือสิ่งที่หนังมอบให้พร้อมกับการที่สอนให้เราไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา  จนเราอาจลืมไปว่าโชคฃะตามันก็ไม่ได้เข้าข้างเสมอไป  แต่ถ้าเราพยายามทำมันต่อไป  ซักวันผลลัพธ์ที่ได้มันก็คุ้มค่าเหมือนดังคำที่ว่า  “พรสวรรค์หรืออจะสู้พรแสวง”





            9 / 10  หักคะแนนความโรคจิต ฮ่า ๆ ๆ
Interstellar

ความเวิ้งว้างกับมิติพิศวง

          ถือเป็นหนังแห่งปีที่ทุกคนจับตามองแถมยังได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมาก  สิ่งหนึ่งที่เถียงไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงถูกจับตา  ก็เพราะหนังเรื่องนี้กำกับโดยคนที่หลาย ๆ คนยกให้เป็น  “เทพ”  ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วมั้ง  กับสุดยอดผู้กำกับคนนึงที่ชอบเจาะลึกไปที่เรื่องของจิตใจมนุษย์  แถมยังสื่อสารได้อย่างทรงพลังเสียอีกต่างหาก  แต่พอมาหนังเรื่องนี้โดยส่วนตัวกล้าพูดเลยว่า  ใครที่ดูแล้วจะมี  2  กลุ่มแบบชัดเจนเลยคือ  ถ้าไม่ชอบก็เข้าขั้นเกลียดเลยหล่ะ

            หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องโลกเข้าสู่ห้วงสุดท้ายในยุคเรา ทีมนักสำรวจต้องรับภารกิจที่สำคัญสุดในประ­วัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยการเดินทางสู่กาแล็คซี่อันไกลโพ้น เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ว่าในอนาคตมนุษยชา­ติอยู่ท่ามกลางดวงดาวได้หรือเปล่า  พร้อมประเด็นต่าง ๆ นา ๆ ที่คุณต้องลองไปสัมผัสเอาเอง


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย  “คริสโตเฟอร์ โนแลน”  ผู้กำกับที่สร้างชื่อและเป็นที่รู้จักได้สูงสุดจากเฟรนไชน์  “Batman”  ทั้ง  3  ภาค  (หรือว่าไม่จริง)  โดยเรื่องนี้เป็นการกับมากำกับโดยยังคงคอนเซ็ปต์เดิม  คือ  การเล่นและเข้าถึงจิตใจมนุษย์  หรือการเล่นกับจิตใต้สำนึกของคนเรานั่นหล่ะ  (Inception มั้ยหล่ะมึง)  เพียงแต่เรื่องนี้ผู้กำกับเหมือนประสบความสำเร็จ  จึงอยากทำแนวที่ตัวเองรักแบบสุดทิ่มลิ่มประตูยังไงยังงั้น  เรื่องนี้จึงใส่ความเป็นวิทยาศาสตร์  บวกกับเรื่องของความเชื่อต่าง ๆ ผสมผสานเข้ากันได้แบบที่กล้าพูดว่า  ถึงใส้ในกันเลยทีเดียว

            ในด้านของนักแสดงเรื่องนี้ต้องขอชมทีมนักแสดงทุกคนมาก ๆ  เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย  ทุกคนสามารถเล่นบทบาทของตัวเองได้เป็นอย่างดี  จนไม่จำเป็นที่จะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมารับหน้าที่แทน  ยกเว้นพระเอกอย่าง  “แมททิว แมคคอนนาเฮ”  ที่เรื่องนี้ดูแล้วโดยส่วนตัวมีความรู้สึกว่าเค้ายังไม่สลัดลุคของคาวบอยติดเอดส์ในเรื่อง  “Dallas Buyer Club”  ที่ทำให้เค้าได้เป็นนักแสดงนำชายเวทีออสการ์บังไงยังงั้น  ผิดกับทาง  “แอน ฮาทอเวย์”  ที่เล่นได้สุขุมมีมาดความเป็นนักวิทย์ที่กล้าเสี่ยงเพื่อมวลมนุษยชาติดี

            ในเรื่องของบทภาพยนตร์ถือว่าดีเอามาก ๆ ในการเล่าเรื่องราวในการผจญภัยครั้งนี้ได้น่าติดตาม  ยกเว้นเรื่องของฟิสิกข์ที่เข้ามามีบทบาทมากเกินไปจนบางครั้งกำลังนั่งคิดตามแต่หนังได้ทิ้งเราเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว  แต่จุดที่ส่วนตัวชอบเอามาก ๆ หรือถือว่าเป็นจุดพีคของหนังก็ได้ที่ว่าด้วยเรื่องของ  “Horizon Event” “Black Hole” “Gravity  ซึ่งจุด ๆ นี้สามารถเล่าเรื่องได้แบบเหลือเชื่อจนน่าติดตามแบบที่ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย  เสียแต่ประเด็นของความรักระหว่างพ่อลูกที่แลดูแล้วมันยัดเยียดกันจนเกินไป  จนทำให้รู้สึกว่าประเด็นความรักไม่จำเป็นต้องมีในหนังเรื่องนี้ก็ได้

            ในเรื่องของภาพถือว่าสามารถพาเราเดินทางไปยังอวกาศอันไกลโพ้นได้แบบจับต้องได้  และเข้าใจถึงการเกินทางไปยังดาวต่าง ๆ อย่างไร  ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความอึดอัดในพื้นที่ ๆ จะกัดบนความกว้างขวางที่ไม่มีที่สิ้นสุด  จนอดจะเปรียบเทียบกับหนังอวกาศอย่าง  “Gravity  เมียไม่ได้ยังไงไม่รู้

            ถึงแม้  Interstellar  จะเป็นหนังที่ค่อนข้างงงงวยอยู่พอสมควร  แต่สุดท้ายมันก็ยังหาทางออกให้กับมันจนได้  แต่มันก็ยังเป็นคำตอบที่ไม่ชัดเจนเหมือนดั่งเรื่องของความเชื่อและวิทยาศาสตร์ที่มักจะสวนทางกันอยู่เสมอ  จนสุดท้ายเราก็ไม่อาจรู้อยู่ดีว่าเรื่องของการย้อนเวลา  หยุดเวลา  การกลับไปอดีตเพื่อแก้ไขอนาคต  การได้เห็นตัวเองหลังความตาย  มันคือ “ความเชื่อ”  หรือ  “วิทยาศาสตร์”  ที่สามารถพิสูจน์ได้กันแน่





            8 / 10  เหมือนจะสุดแต่ก็ไม่สุด  เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังคงสงสัย  สรุปมันคือหนังไซไฟน้ำนี้ที่ต้องติดตาม
The Eyes Diary

มิติที่ห่างกันไม่ได้

          ถือว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องนึง  ที่ผมค่อนข้างให้ความสนใจและตั้งความหวังเล็ก ๆ  ไว้  เพราะหนังไทยโดยเฉพาะหนังผีนั้นที่ผ่านมา  มีแต่หนังที่เอาแต่ขายดารา  เอาแต่ขายเอฟเฟ็ค  เอาแต่ขายความเป็นผัตุ้งแช่แกล้งคนให้สะดุ้งเฮือก  โดยขาดเนื้อเรื่องที่จับต้องได้และชวนติดตาม  โดยหนังเรื่องนี้ก็ถือว่าสอบผ่านในระดับนึงเลย

            หนังว่าด้วยเรื่องของ  “น็อต”  เด็กหนุ่มนักศึกษาที่มาหันเอาดีในงานร่วมกตัญญู  เพื่อจุดประสงค์ในการเก็บของคนตาย  เพียงเพราะหวังจะได้เห็น  “ปลา”  แฟนสาวที่เสียชีวิตอีกสักครั้ง  น็อตจึงทำทุวิถีทางโดยมี  “มดตะ”  เพื่อนของเพื่อนที่มหาลัยร่วมค้นหาความจริงในเรื่องการเห็นวิญญาณ  และมี  “จอร์น”  เพื่อนร่วมงานของน็อตที่คอยขัดขวางทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทุกคนเห็นผี


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  “มะเดี่ยว ชูเกียรติ”  ผู้กำกับมือรางวัลของไทย  เคยส้รางชื่อหนังรักมามายมายที่ทุกคนตราตรึง  อาทิ  รักแห่งสยาม, Home  โดยรอบนี้เป็นการกลับมาทำหนังผีอีกครั้ง หลังจากเคยประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างเกมส์จิตของของคน  13 เกมส์สยอง  หรือจะเป็นหนังผีคิดไปเอง  “คน ผี ปีศาจ”  การกลับมาคราวนี้ดูเหมือนว่าผู้กำกับนั้นได้ใส่ความเป็นหนังรักเข้าไปให้เหมือนกับเราได้ดูหนังที่เคยผ่านมาทั้ง  2  แนว  มาผสมจนได้รสที่กลมกล่อมพร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้เสพแบบถึงเนื้อถึงใจ

            ในด้านของการแสดงก่อนอื่นขอติง  “ปั้นจั่น”  และ  “แจ็ค”  2  นักแสดงนำฝั่งชายที่เล่นได้ค่อนข้างแข็งและดูการแสดงอารมณ์ออกทางโรคจิตมากกว่าคนที่หมดทุกข์ได้ยากเสียมากกว่า  เหมือนดั่งกับว่า  2  นี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะแบกรับหนังไว้คนใดคนหนึ่งได้เลย  กลับกันกับ  2  นักแสดงสาวที่ต้องบอกว่าพัฒนาการดีขึ้นทั้ง  “โฟกัส”  ที่เล่นและสามารถสลัดคราบความเป็นเด็กที่เชื่อว่าทุกคนยังติดภาพ  “น้อยหน่า”  ไม่มากก็น้อย  ทำให้เรื่องนี้สามารถพูดได้ว่าตอนนี้โฟกัสได้โตเป็นสาวเรียบร้อยแล้ว  ส่วนอีกคนไม่ชื่นชมไม่ได้เลยกับ  “เมโกะ”  นักแสดงผู้ที่รางวัลสุพรรณหงษ์สาขาสมทบหญิงยอดเยี่ยมเมื่อคราก่อนจากเรื่อง  “Mary is Happy, Mary is Happy”  โดยเรื่องนี้เธอได้แสดงพลังออกมาได้แบบน่าชื่นชมทั้งการต่อบท  การเล่นซีนอารมณ์ที่กล้าบอกว่าดารารุ่นที่เข้ามาก่อนบางคนยังต้องอาย  ไม่นานเราคงจะได้เห็นเธอเล่นเป็นบทนำเสียที  แบบนี้รางวัลคงอยู่ไม่ไกลแน่นอน

            ในเรื่องของบทภาพยนตร์ถือว่าเรื่องนี้  “สอบผ่าน”  แบบฉิวเฉียด  เนื่องด้วยที่ว่าประเด็นแต่ละอย่างของหนังนั้นไม่สามารถไปได้สุดเลยแม้แต่ทางเดียว  คือเดินไปข้างหน้าแต่ดันทิ้งเปลือกกล้วยแล้วไม่ยอมหันมาเก็บเสียอย่างนั้น  เช่น  ประเด็นของจอร์นที่เห็นผีแล้วอยากห้ามไม่ให้ใครเห็น  ประเด็นของมดตะกับครอบครัวที่ยังหาความจริงไม่เจอ  ประเด็นของความรักทั้ง  2  ที่แลดูแล้วมันไม่ได้เข้ากันและคนดูก็ยังไม่เข้าใจ  ดีตรงที่ว่าผู้กำกับสามารถเขียนเรื่องราวความรักที่ไม่หนาวเลี่ยนให้เค้ากับผีได้อย่างลงตัว  ผสมกับเอฟเฟ็คความน่ากลัวของผีที่ไม่เกินจริง  ไม่ฟุ้งเฟ่อ  ไม่เลอะเทอะจนกลายเป็นตุ้งแช่หมูกระทะ  ณ  จุด ๆ นี้ผมขอชมจากใจจริง  เพราะน้อยเรื่องนักที่จะสามารถทำหนังผีที่ไม่ได้มุ่งขายความสะดุ้งเพียงอย่างเดียว  เสียตรงเนื้อหาอย่างเดียวไม่งั้นครบถ้วน

            หนังค่อนข้างให้เนื้อสาระกับเราได้พอสมควร  ทั้งเรื่องชีวิตหลังความตาย  ความห่วงหาปราถนากับการที่คนตายไปสบายแล้วจริง ๆ หรือ  โดยหนังสามารถตอบโจทย์ให้เราได้รู้ว่า  พวกเค้าเหล่านั้นหลังจากที่ตายไปก็ไม่ได้มีความน่ากลัวอะไรทั้งนั้น  เพียงแต่ว่าสิ่งที่เค้าปรากฎหรือต้องการทำให้เราเห็นนั้น  ก็เพียงแค่ว่าเค้าต้องการบอกอะไรกับเราบางอย่างเพียงเท่านั้นเอง  เพราะนั่นคือ  “ห่วง”  อันยิ่งใหญ่ของคนที่จากไปแล้ว  ถึงแม้บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กแต่สำหรับคนที่อยู่อีกโลกนึงอาจจะคิดเป็นเรื่องใหญ่จนไปไม่ผุดไปเกิดกลายเป็นผีเรร่อนไป  คือหนังสามารถทำเราเข้าใจผีที่ต้องการให้มนุษย์เห็นเพื่อช่วยเหลือก็เพียงแค่นั้นเอง

            7 / 10  จะกลัวผีกันทำไม ในเมื่อผีมันยังกลัวกันเองเลย



วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Gone Girl

เสียทองเท่าหัว จงอย่าเสียผัวให้ใคร

          หลังจากที่ได้ดูตัวอย่างบวกกับกระแสที่ไปในทิศทางที่ดีมาก ๆ กับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับหนังแนวสืบสวนดาร์คทริลเลอร์อย่าง David Fincher แล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องไปตีตั๋วเพื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้

            Gone Girl  เล่นซ่อนหาย  ว่าด้วยเรื่องของ  2  ผัวเมียที่ในอดีตต่างมีความรักให้กันเป็นอย่างดี  แต่อยู่มาวันนึงความรักเหล่านั้นมันได้จางหายไป  จนเกิดเหตุการณ์การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของผู้เป็นเมีย  เมียหายทั้งคน  คนเป็นผัวมันก็ต้องห่วงต้องหาเป็นธรรมดา  แต่ที่ไม่ธรรมดาคือเค้าผู้นี้มีส่วนในการหายตัวไปของเมียเค้าเองหรือไม่  บทสรุปจะเป็นเช่นไรไม่ขอสปอยละกัน


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  David Fincher ผู้กำกับฝีมือดีคนหนึ่งในวงการฮอลลีวูด กับหนังแนวดาร์คทริลเลอร์ที่มักเจาะจงในเรื่องของจิตใจมนุษย์หลาย ๆ เรื่องอาทิ  Fight Club, Se7en, The Girl with the Dragon Tattoo  (แต่ส่วนตัวชอบเรื่อง  The Curious Case of Benjamin Butter มากกว่าถึงไม่ใช่แนวสืบสวนแต่การเล่าเรื่องดีมาก)  ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละเรื่องที่ผ่านมานั้นจะค่อนข้าง  (ไม่ค่อนหล่ะ) ออกแนวดาร์คมืด ๆ ดูแล้วต้องเครียดตามสถานะการณ์  แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะดูเปลี่ยนแนวออกไปเล็กน้อย  เพียงแต่ยังคงความเป็นหนังสืบสวนที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยน่าติดตามตลอดเวลา  แต่มันแค่ดูแล้วไม่ดาร์คมากเท่าที่ควรจะเป็น


            ในส่วนของนักแสดงตรงนี้ต้องขอชมคู่พระ – นางทั้ง 2 คนเลยทั้ง  Ben Affleck  ที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตามมาตราฐานดาราที่มีชื่อเสียง  แต่ที่ขอชมเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น  Rosamund Pike  ซึ่งส่วนมากเธอจะรับบทหนังที่เบาสมองเสียเป็นส่วนใหญ่  แต่มาในภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นการ  “ปล่อยของ”  ขั้นสูงของการแสดงของเธอเลยก็ว่าได้  ทั้งการแสดงสีหน้า ท่าทางที่มีความเป็นโรคจิตและความเป็นกุนซือในการคุมตีมของเรื่องได้อย่างสูงส่ง  อย่างน้อยออสการ์ปีนี้ต้องมีเธอเข้าชิงสาขา “นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม”  อย่างแน่นอน  แต่ยังไม่นอนมาเพราะอาจจะมีคนที่เล่นดีกว่าเธอก็ได้  แต่เรื่องนี้ใครที่ไปชมขอให้จับตาดูเป็นพิเศษเลย

            ในส่วนของบทภาพยนตร์  ถือว่าหนังเรื่องนี้สามารถเล่าเรื่องที่นำพาเราให้เดินตามเรื่องแบบที่ทั้งคิดและชวนติดตามตลอดเวลา  คือถ้าหากพลาดแค่ฉากเดียวความสนุกอาจจะหายไปนิดนึงเลยก็ได้  แถมลูกล่อลูกชนของหนังที่ใส่เข้าไปนั้นบอกได้เลยว่าทั้งทำเราได้อึ้ง  และตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังเอามาก ๆ  ถึงแม้ว่าถ้าคิดถึงหนังสืบสวนสอบสวน  คำตอบของหนังก็มีแค่  2  อย่างนั่นก็คือ  “เขากระทำ” หรือ “ไม่ได้ทำ”  หรือสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ  “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”  แต่สิ่งที่มันให้มากกว่านั้นมันก็คืออารมณ์มูดแอนด์โทนที่ใส่เข้าไป  บวกกับการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม  และสนุกในการคิดกับสิ่งที่เกิดในหนังได้อย่างถึงพริกถึงขิงนี่หล่ะ  จนเราอยากรู้ตอนจบของมันเลยว่า  เฮ่ยยยยย มึงบ้ากันป่าววะ  รวมถึงการใช้ซาวด์ดนตรีที่ทำให้รู้สึกลุ้นระทึกตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

            ข้อเสียของหนังนั้นเหมือนอาจจะไม่มีแต่มันก็ยังมีอยู่  โดยเฉพาะการตัดอารมณ์คนดูกลางทาง 
ที่บางครั้งในเหตุการณ์มันเหมือนจะไปได้อีก  แต่ดันตัดมาอีกเหตุการณ์แล้วให้เราร้อยเรียงเรื่องใหม่เป็นครั้งคราว  มันอาจจะเป็นเสน่ห์ของหนังสืบสวน  แต่กลับกันถ้าใครที่ไม่ตั้งใจดูหรือคิดตามไม่ทันมันก็อาจจะปวดหัวแล้วก็
ต้องมานั้งตั้งคำถามว่าเหตุใดทำไมถึงทำ

            หนังไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสืบสวนสอบสวนชวนน่าติดตามตลอด  150  นาที  แต่หนังยังมุ่งเน้นและแฝงความเป็นสถาบันครอบครัว  และนิทานสอนชีวิตคู่ได้แบบเนื้อ ๆ เน้น ๆ  ว่าด้วยเรื่องชีวิตหลังแต่งงาน  และจุดจบของชีวิตคู่  ซึ่งถ้าเรามองตรงจุดนี้มันอาจจะเป็นแค่หนังรักน้ำเน่าทั่ว ๆ ไป  เพียงแต่มันถ่ายทอดผ่านความเป็นเรื่องราวสืบสวนคดีพลิกไปพลิกมา  แถมยังกัดจิกสังคมเมกาว่าด้วยเรื่องของ  “ดราม่า”  ที่ไม่ต่างจากคนไทยมากนักที่เสพติดและแชร์  “ข่าวเล่า”  จนลืมค้นหาความจริงว่าต้นตอมันอยู่จุดใดกันแน่  จนเป็นที่มาขอสำนวนภาษาไทยที่ว่า  “เสียทองเท่าหัว จงอย่าเสียผัวให้ใคร”  และสุดท้ายผู้ชายทั้งหลายจงจำไว้ว่า  “อย่าทำให้มนุษย์เมียโกรธ”  ไม่งั้นชีวิตอาจถึงคาดก่อนวัยอันควร...ก็...เป็น...ได้!!!


9 / 10  ถ้าลงทุนขนาดนี้กูไม่ขอมีเมียซะดีกว่า ฮ่า ๆ ๆ กลัวตัดให้เป็ดแดกมากกว่านอนซังเตเยอะเลย

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

ตุ๊กแกรักแป้งมาก

เดินตามฝัน เติมความรัก

          ภาพยนตร์ไทยที่น่าสนใจบางคนอาจใช้บรรทัดฐานของค่ายหนังนั้น ๆ ในการรับชมเป็นหลัก หรือบางคนอาจดูที่ตัวนักแสดง หรือผู้กำกับเพื่อพิจารณาก่อนเสียเงินเข้าไปดูหนังเรื่องนั้น ๆ แต่บางเรื่องก็อาจมีอันต้องผิดหวังกลับมา หรือบางเรื่องอาจจะดีเกินกว่าที่คาดไว้ ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคลว่าจะชอบแนวหรือเนื้อหาแบบไหนเสียมากกว่า เหมือนดั่งภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ตัวผมเองนั้นคิดว่าเป็นหนังที่บริสุทธิ์ ซื่อตรง และหาดูได้ยากในยุคหนังไทยที่เน้นขายของ ขายฉาก เอฟเฟ็กและหน้าตานักแสดงเสียส่วนใหญ่จนลืมองค์ประกอบในการเล่าเรื่องไปด้วยแล้วมั้ง

            ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึง “ตุ๊กแก” (เก้า จิรายุและน้องแม็ก ณัฐพัชร์) เด็กน้อยผู้มีความฝันอยากทำงานด้านศิลป์ที่เกี่ยวกับหนังโดยเฉพาะการได้กำกับภาพยนตร์ซักเรื่อง  แอบตกหลุมรักที่ฝังใจกับ “แป้ง” (เพลง ชนม์ทิดา และ น้องพรีม นิกานต์) เด็กน้อยลูกสาวนายอำเภอแห่งเชียงคานที่เป็นเจ้านายของบ้านตุ๊กแก และเป็นซุปตาร์ข้ามคืนจากการเล่นภาพยนตร์ ด้วยเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในยุคสมัยดิสโก้ ตุ๊กแกต้องการที่จะพบกับแป้งเพื่อแก้ไขบางสิ่งในอดีตพร้อมทำให้ทั้งคู่มายืนอยู่เคียงข้างกันเช่นเดิม




            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค”  ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากคนนึงในวงการภาพยนตร์ไทยที่เคยฝากผลงาน อาทิ มือปืนโลกพระจันทร์, กุมภาพันธ์, อีติ๋มตายแน่, มือปืนดาวพระศุกร์และอื่น ๆ อีกมากมาย  ซึ่งหลายเรื่องของผู้กำกับคนนี้จะเน้นและมีการจิกกัดเรื่องของสังคม, การเมืองไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะยุคหลัง ๆ เรื่องของกีฬาสี แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องแรกก็ได้ที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด ซื่อตรงที่สุด และดูสดใสเหมือนไม่มีอะไรแต่ได้หลายอย่าง ซึ่งถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ของ “ต้อม ยุทธเลิศ” เป็นหนัง Feel Good  น้ำดีที่หายากก็ได้มั้ง (แต่น่าเสียดายที่เรื่อง “ปิตุภูมิ” หนังสะท้อนสังคมและการเมืองเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ฉาย เพราะอะไรนั้นก็มิอาจตอบได้ ยังไงผมก็ยังรอดูหนังเรื่องนี้อยู่แน่นอน”

            ในเรื่องของนักแสดงต้องบอกเลยว่าเป็นอะไรที่เซอไพรส์อย่างมาก ไล่มาตั้งแต่ “เก้า จิรายุ” ในบทเด็กหนุ่มอาร์ตติสอารมณ์ศิลปินที่คุมโทนของการแสดงได้อย่างดีเยี่ยมแบบว่าสามารถแบกรับหนังคนเดียวได้อย่างสบาย ๆ เลยหล่ะ ส่วนของ “เพลง ชนม์ทิดา อัศวเหม” ก็สามารถเล่นได้ดีในระดับนึงของการเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกซึ่งถือว่าสอบผ่าน  และที่สำคัญเลยคือเด็ก 2 คนอย่างน้องแม็ก ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ และน้องพรีม นิกานต์ ตังกบดี  ที่เล่นได้แบบเกินเด็กเกินวัยที่เข้าถึงอารมณ์จนบางซีนนั้นถึงขั้นเรียกน้ำตาคนดูได้เลยทีเดียว

            ในเรื่องของบทภาพยนตร์นั้นถือว่าอาจจะดูไม่มีอะไรซับซ้อน  สามารถเดาและคาดหมายตั้งแต่ต้นได้อยู่แล้วเพราะมันอาจจะดูเหมือนเป็นหนังรักทั่วไป  เล่าเรื่องไปตามอารมณ์และสถานะการณ์ทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่มันได้มากกว่านั้นก็คือเรื่องของอารมณ์ร่วมต่าง ๆ ที่ผู้กำกับนั้นได้ใส่ไว้ให้เราได้รู้สึกขำ ซึ้ง และอมยิ้มไปกับมันได้ตลอดเวลาทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่าบทหนังนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเลยซักนิด ถือเป็นการกลบจุดบอดได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

            แต่สิ่งที่น่าเสียดายและผิดหวังเล็กน้อยก็อาจจะเป็นเรื่องของปมหนังที่ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าค้นหาหรือจดจำให้สนุกร่วมกับหนังมากกว่าอารมณ์ที่ได้ โดยเฉพาะปมหลักของเรื่องที่ดูออกแนวทิ้งไปโดยไม่ใยดีแบบไม่มีการอธิบายให้เราได้มางงเล่น ๆ ว่า...เออมันไปดีกันตอนไหนได้ยังไงวะ  หรือจะเป็นการทิ้งตัวแสดงบางคนในแก๊งค์หลังห้องที่ไม่มีความชัดเจนเสียเท่าไหร่  ทั้ง ๆ ที่ในวัยเด็กเหมือนจะให้ความสำคัญมาก แต่พอโตเรากลับไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่มันก็เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้นเอง

            หนังยังคงเสน่ห์ของการได้จิกกัดเล็กน้อย เพียงแต่เรื่องนี้ไม่มีการเมืองเลย (มีแต่เชิงสัญลักษณ์นิดนึง) แต่เรื่องนี้จะเน้นหนักและจิกกัดไปที่เรื่องของวงการภาพยนตร์บ้านเราได้แบบตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องก่อนจะมาเป็นผู้กำกับเอย นักแสดงเอย การขายบทเอย  ถือว่าทำได้แบบสะดุ้งวงการเล่น ๆ และเรื่องของระบบศักดินาที่ยังไม่ขาดหายไปจากประเทศ

            หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ให้สาระสำคัญอะไรมากนอกจากความเบาสมอง  แต่สิ่งที่สามารถตราตรึงใจได้คงจะเป็นเรื่องของการรำลึกความหลังในวัยเด็กของใครหลาย ๆ คน ทั้งเรื่องของความรัก ความฝันที่ต้องการไปให้สุดและต้องการแก้ไขบางสิ่งที่ยังค้างคาใจอยู่  โดยเฉพาะเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ที่เอาเรื่องของเด็กบ้านนอกในยุคก่อนมาเล่า การละเล่นในยุคที่ไม่มีโซเชียล ความคลาสสิคของความรักที่ยากจะบอกกว่าสมัยนี้ มันยังคงมีเสน่ห์และความน่ารักอยู่ในตัว หรือถ้าเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง “แฟนฉัน” (ขออนุญาตเปรียบเทียบกับค่ายอื่น)แล้วนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมือนหนังสั้นที่ย่อช่วงเด็กอย่างได้ใจความและลึกซึ้งกว่า ทำให้อดคิดถึงสมัยวิ่งเล่นยิงปืนกับเพื่อน ๆ ในวัยเยาว์อย่างนั้นเลย

 9/10


ปล. ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะถูกจริตกับคนที่มีอายุ 30 - 40  ปีขึ้นไป หรืออาจให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องของเด็กสมัยก่อนก็ได้