วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

ตุ๊กแกรักแป้งมาก

เดินตามฝัน เติมความรัก

          ภาพยนตร์ไทยที่น่าสนใจบางคนอาจใช้บรรทัดฐานของค่ายหนังนั้น ๆ ในการรับชมเป็นหลัก หรือบางคนอาจดูที่ตัวนักแสดง หรือผู้กำกับเพื่อพิจารณาก่อนเสียเงินเข้าไปดูหนังเรื่องนั้น ๆ แต่บางเรื่องก็อาจมีอันต้องผิดหวังกลับมา หรือบางเรื่องอาจจะดีเกินกว่าที่คาดไว้ ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคลว่าจะชอบแนวหรือเนื้อหาแบบไหนเสียมากกว่า เหมือนดั่งภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ตัวผมเองนั้นคิดว่าเป็นหนังที่บริสุทธิ์ ซื่อตรง และหาดูได้ยากในยุคหนังไทยที่เน้นขายของ ขายฉาก เอฟเฟ็กและหน้าตานักแสดงเสียส่วนใหญ่จนลืมองค์ประกอบในการเล่าเรื่องไปด้วยแล้วมั้ง

            ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึง “ตุ๊กแก” (เก้า จิรายุและน้องแม็ก ณัฐพัชร์) เด็กน้อยผู้มีความฝันอยากทำงานด้านศิลป์ที่เกี่ยวกับหนังโดยเฉพาะการได้กำกับภาพยนตร์ซักเรื่อง  แอบตกหลุมรักที่ฝังใจกับ “แป้ง” (เพลง ชนม์ทิดา และ น้องพรีม นิกานต์) เด็กน้อยลูกสาวนายอำเภอแห่งเชียงคานที่เป็นเจ้านายของบ้านตุ๊กแก และเป็นซุปตาร์ข้ามคืนจากการเล่นภาพยนตร์ ด้วยเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในยุคสมัยดิสโก้ ตุ๊กแกต้องการที่จะพบกับแป้งเพื่อแก้ไขบางสิ่งในอดีตพร้อมทำให้ทั้งคู่มายืนอยู่เคียงข้างกันเช่นเดิม




            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย “ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค”  ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากคนนึงในวงการภาพยนตร์ไทยที่เคยฝากผลงาน อาทิ มือปืนโลกพระจันทร์, กุมภาพันธ์, อีติ๋มตายแน่, มือปืนดาวพระศุกร์และอื่น ๆ อีกมากมาย  ซึ่งหลายเรื่องของผู้กำกับคนนี้จะเน้นและมีการจิกกัดเรื่องของสังคม, การเมืองไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะยุคหลัง ๆ เรื่องของกีฬาสี แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องแรกก็ได้ที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด ซื่อตรงที่สุด และดูสดใสเหมือนไม่มีอะไรแต่ได้หลายอย่าง ซึ่งถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ของ “ต้อม ยุทธเลิศ” เป็นหนัง Feel Good  น้ำดีที่หายากก็ได้มั้ง (แต่น่าเสียดายที่เรื่อง “ปิตุภูมิ” หนังสะท้อนสังคมและการเมืองเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ฉาย เพราะอะไรนั้นก็มิอาจตอบได้ ยังไงผมก็ยังรอดูหนังเรื่องนี้อยู่แน่นอน”

            ในเรื่องของนักแสดงต้องบอกเลยว่าเป็นอะไรที่เซอไพรส์อย่างมาก ไล่มาตั้งแต่ “เก้า จิรายุ” ในบทเด็กหนุ่มอาร์ตติสอารมณ์ศิลปินที่คุมโทนของการแสดงได้อย่างดีเยี่ยมแบบว่าสามารถแบกรับหนังคนเดียวได้อย่างสบาย ๆ เลยหล่ะ ส่วนของ “เพลง ชนม์ทิดา อัศวเหม” ก็สามารถเล่นได้ดีในระดับนึงของการเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกซึ่งถือว่าสอบผ่าน  และที่สำคัญเลยคือเด็ก 2 คนอย่างน้องแม็ก ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ และน้องพรีม นิกานต์ ตังกบดี  ที่เล่นได้แบบเกินเด็กเกินวัยที่เข้าถึงอารมณ์จนบางซีนนั้นถึงขั้นเรียกน้ำตาคนดูได้เลยทีเดียว

            ในเรื่องของบทภาพยนตร์นั้นถือว่าอาจจะดูไม่มีอะไรซับซ้อน  สามารถเดาและคาดหมายตั้งแต่ต้นได้อยู่แล้วเพราะมันอาจจะดูเหมือนเป็นหนังรักทั่วไป  เล่าเรื่องไปตามอารมณ์และสถานะการณ์ทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่มันได้มากกว่านั้นก็คือเรื่องของอารมณ์ร่วมต่าง ๆ ที่ผู้กำกับนั้นได้ใส่ไว้ให้เราได้รู้สึกขำ ซึ้ง และอมยิ้มไปกับมันได้ตลอดเวลาทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่าบทหนังนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเลยซักนิด ถือเป็นการกลบจุดบอดได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

            แต่สิ่งที่น่าเสียดายและผิดหวังเล็กน้อยก็อาจจะเป็นเรื่องของปมหนังที่ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าค้นหาหรือจดจำให้สนุกร่วมกับหนังมากกว่าอารมณ์ที่ได้ โดยเฉพาะปมหลักของเรื่องที่ดูออกแนวทิ้งไปโดยไม่ใยดีแบบไม่มีการอธิบายให้เราได้มางงเล่น ๆ ว่า...เออมันไปดีกันตอนไหนได้ยังไงวะ  หรือจะเป็นการทิ้งตัวแสดงบางคนในแก๊งค์หลังห้องที่ไม่มีความชัดเจนเสียเท่าไหร่  ทั้ง ๆ ที่ในวัยเด็กเหมือนจะให้ความสำคัญมาก แต่พอโตเรากลับไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่มันก็เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้นเอง

            หนังยังคงเสน่ห์ของการได้จิกกัดเล็กน้อย เพียงแต่เรื่องนี้ไม่มีการเมืองเลย (มีแต่เชิงสัญลักษณ์นิดนึง) แต่เรื่องนี้จะเน้นหนักและจิกกัดไปที่เรื่องของวงการภาพยนตร์บ้านเราได้แบบตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องก่อนจะมาเป็นผู้กำกับเอย นักแสดงเอย การขายบทเอย  ถือว่าทำได้แบบสะดุ้งวงการเล่น ๆ และเรื่องของระบบศักดินาที่ยังไม่ขาดหายไปจากประเทศ

            หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ให้สาระสำคัญอะไรมากนอกจากความเบาสมอง  แต่สิ่งที่สามารถตราตรึงใจได้คงจะเป็นเรื่องของการรำลึกความหลังในวัยเด็กของใครหลาย ๆ คน ทั้งเรื่องของความรัก ความฝันที่ต้องการไปให้สุดและต้องการแก้ไขบางสิ่งที่ยังค้างคาใจอยู่  โดยเฉพาะเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ที่เอาเรื่องของเด็กบ้านนอกในยุคก่อนมาเล่า การละเล่นในยุคที่ไม่มีโซเชียล ความคลาสสิคของความรักที่ยากจะบอกกว่าสมัยนี้ มันยังคงมีเสน่ห์และความน่ารักอยู่ในตัว หรือถ้าเปรียบเทียบกับหนังเรื่อง “แฟนฉัน” (ขออนุญาตเปรียบเทียบกับค่ายอื่น)แล้วนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมือนหนังสั้นที่ย่อช่วงเด็กอย่างได้ใจความและลึกซึ้งกว่า ทำให้อดคิดถึงสมัยวิ่งเล่นยิงปืนกับเพื่อน ๆ ในวัยเยาว์อย่างนั้นเลย

 9/10


ปล. ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะถูกจริตกับคนที่มีอายุ 30 - 40  ปีขึ้นไป หรืออาจให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องของเด็กสมัยก่อนก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น