ไอฟาย แต๊งกิ๊ว เลิฟยู้
ไอฟาย เออเร่อ
จัดเป็นหนังที่ทาง GTH โหมกระแสโปรโมทกันอย่างอึกกระทึกคึกโครม
โหมแบบประมาณว่าหนังเรื่องนี้มันต้องเจ๋งที่สุดเท่าที่ GTH
สร้างมาเลยก็ว่าได้
บวกกับการขายชื่อผู้กำกับ และนางเอกร้อยล้านเข้าไปด้วยแล้วนั้น บรรดาติ่ง GHT
คงต้องยอมเสียเงินเสียเวลาต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อไปชมในโรงให้ได้
ซึ่งโดยส่วนตัวหลังจากได้ดูตัวอย่างแรกพูดได้คำเดียวว่า เฮ่ย...นี่มันตลาดล่างเสียดสีชัด ๆ
หนังเล่าเรื่องถึง “เพลง” (ไอซ์ ปรีชยา พงษ์ธนานิกร)
ติวเตอร์ภาษาอังกฤษแสนสวยที่ดันไปรับปากกับลูกศิษย์ญี่ปุ่นอย่าง “คายะ” (โซระ อ้อย) ให้ไปบอกเลิกแฟนหนุ่มช่างซ่อมบำรุงอย่าง “ยิม” (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) เพราะเจ้าตัวดันได้ไปทำงานที่อเมริกา
บวกกับความไม่เข้าใจด้านการสื่อสารนอกจากเซ็กซ์
เพลงจะทำอย่างไรกับงานครั้งนี้ที่ดันทำให้ยิมโกรธจนต้องสอนภาษาอังกฤษเพื่อให้ยิมสามารถคุยและตามไปหาคายะให้จงได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย “เมษ ธนาธร” ผู้กำกับที่เคยฝากผลงานสร้างชื่อจากหนังตลกโปกเสียดสีกลุ่มคน
“ชายขอบ” อย่าง ATM เออรัก เออเร่อ กลับมาครั้งนี้ก็ยังคงดำเนินไปในทิศทางเหมือนเดิม เพียงแต่แค่เปลี่ยนพล็อตเรื่องหยิบประเด็นด้านภาษามาเป็นสื่อในหนังเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นประเด็นที่ผู้กำกับนั้นมาได้ถูกทางแถมยังเกือบจะมีประโยช์แล้ว ถ้าหากเราไม่มองลึกลงไปว่า มันไม่ต่างกับการเสียดสีสังคมคน “โรงงาน”
เสียเท่าไหร่ว่าเป็นคนที่ไม่รู้ภาษาหรือการศึกษาน้อย แต่ถ้าเน้นฮาไม่ซีเรียสก็คงถัว ๆ ไปกันต่อได้
ในด้านการแสดงถือว่าตัวละครเอกทั้ง 2
สอบผ่านและสามารถเอาหนังให้อยู่หมัดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะครึ่งหลังของเรื่องที่ทั้ง 2
มีเคมีที่เข้ากันเป็นอย่างมากโดยที่ไม่ต้องพึ่งพานักแสดงคนอื่นเลยก็ว่าได้ แต่ในทางกลับกันนักแสดงตัวอื่น ๆ ที่มีการโปรโมทออกมาทุกตัวที่เหลือนั้นผมให้ “สอบตก”
โดยสิ้นเชิง ขอไล่ทีละคน อาทิ โซระ อาโออิ
ที่เหมือนจะเอามาเพื่อสร้างสีสัน
แต่มันดันทำให้เห็นการตีค่าของผู้กำกับว่าสาวญี่ปุ่นก็ไม่ต่างอะไรจากดารา AV เอาเสียเลย, ตู่ ภพธร หมดความหล่อไปโดยปริยายจากบทที่ไม่ส่งให้เค้าดูเลอค่ามากเท่าที่ควร, โจ๊กโซคูล & เดอะแก๊งค์โรงงาน โดยคนแรกถือว่าเอามาขายแค่หน้าฮา
ๆ แต่การแสดงกลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน, น้องนิว กุลญาดา เด็กสร้างชื่อจาก ATM 2 มารับบทแอ๊ว
ที่ถูกโหมกระแสให้แจ้งเกิด
แต่เอาเข้าจริงบทกลับไม่มีอะไรเหมือนดั่งเอาตัวละคร “ไบรส์” จาก ATM 2 มาฉายซ้ำยังไงอย่างงั้น
สุดท้ายตุ๊ยตุ่ย ที่ไม่ต้องมีหนังก็คงไม่ล่มสลายเอาก็ได้ (ที่กล่าวมาทั้งหมดเพราะดันโปรโมทไว้สูง แต่เข้าไปดูดันไม่ได้รับผลตอบแทนเท่าที่ควร)
เรื่องของบทภาพยนตร์บอกได้คำเดียวว่า “แข็ง”
จนนำมาซึ่งจุดอ่อนของภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าหนังแบ่งเป็น 2 Past คือครึ่งเรื่องแรกและหลัง โดยครึ่งแรกนั้นเน้นไปที่ความฮาที่ไร้สาระ ไม่ว่าจะเป็นตลกหมูกระทะ คำพูดหยาบคาย
มุขเจ็บตัว และ Dirty
Joke เกลื่อนไปหมดแบบไร้ทิศทาง พร้อมทั้งการใส่ซาวด์ที่ไม่ต่างจากหนังผีตุ้งแช่ จนกลายเป็นหนังตลก 3 ช่าซะอย่างนั้น ส่วนครึ่งหลังถือเป็นการปล่อยของชั้นดีของ 2
ตัวละครหลักที่โชว์ให้เห็นเคมีการแสดงอย่างเดียว
แต่บทหนังมันดันไม่นำพาเราไปให้ถึงจุดสุดยอดตรงนั้นนี่สิ
อีกหนึ่งจุดที่เห็นก็คือความย้อนแย้งในตัวนางเอกเองด้วยเพราะหนังถูกปูให้เห็นค่าของสิ่งของ แต่จบกลับกลายเป็นอีกแบบ
แต่หนังก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด แต่หนังยังแทรก Symbolic
ไว้ให้เราได้เห็นจนมีความหมายที่ดีอยู่หลาย ๆ ซีน โดยเฉพาะซีนที่เพลงจะถูกแอบถ่ายกางเกงใน มันเป็นซีนที่ผมดูแล้วว่ามันน่ารักที่สุดเลยก็ว่าได้ (ไปสังเกตุเอา) ก่อนจะเข้ามุขสกปรกจนต้องร้องยี้ นอกนั้นไม่ผ่านเลยหว่ะ
หนังค่อนข้างดูถูกและเสียดสีจนเกินงามในหลายเรื่อง
ทั้งเรื่องกลุ่มคนโรงงานไม่รู้แม้แต่ A – Z คนงานต้องดูถ่อยเถื่อน ผู้หญิงญี่ปุ่นต้องเหมือนดารา AV คุณหญิงคุณนายต้องทรงผมสมัย 100 ปีตีโป่ง ชายในฝันต้องรูปงามดีเกินไป แต่สุดท้ายหนังก็ยังพามาจุดพีคของการสอนหญิงเลือกคู่มาได้ว่า เราจะเลือกคนที่สามารถบันดาลทุกอย่างมาให้
หรือต้องการพวกแค่คนที่ซ่อมแซมสิ่งที่เสียหายให้กลับมาใช้ได้ มันจึงอาจเป็นจุดซึ้งของหนังเรื่องนี้ที่สุดก็เป็นไปได้มั้ง
5 / 10 ถ้าไม่มีคาแรคเตอร์ของซันนี่ ความน่ารักของไอซ์
หนังก็คงไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น