วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Whiplash

อย่าเอาเทมโปของชั้นไป

          เปิดหน้าหนังโหมกระแสด้วยความดีงามจากปากนักวิจารณ์ต่าง ๆ  ทั้งว่าเป็นหนังสร้างแรงกระตุ้น  ทั้งเป็นหนังที่โหยหาความสำเร็จ  อีกทั้งยังการันรางวัลจนได้เกียรติฉายที่เมืองคานส์ยังไงยังงั้น  แต่จะว่าไปหนังที่เกี่ยวกับดนตรี  ที่ผ่าน ๆ มาให้เห็นนั้นก็ยังไม่มีเรื่องอะไรที่พามันไปสุดซักทาง  แต่ผิดกับเรื่องนี้ที่ไม่ได้พาเราไปจุดสุดยอด  แต่กลับเป็นนำพาไปสู่จุดเริ่มต้นต่างหาก

            หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของ  “แอนดรู”  เด็กหนุ่มมือกลองเบอร์  2  ของวงแจ๊ชที่ต้องการทำตามความฝันของตัวเอง  คือการเป็นที่ยอมรับและเป็นมือกลองอันดับ 1  ของโลก  ได้มาเจอกับ  “เฟรทเชอร์”  ครูสอนผู้เข้างวดที่อยากจะให้ลูกศิษย์ทุกคนได้ดี  ถึงแม้วิธีบางอย่างอาจจะดูฮาร์ดคอร์ไปเสียชิบ


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย  Damien Chazelle  ที่หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังยาวเรื่องที่  2  ของตัวเค้าเอง  โดยเรื่องนี้เคยเป็นหนังสิ้นมาก่อน  ก่อนที่ผู้กำกับจะทำให้มันยาวขึ้น  จนกลายมาเป็นหนังโรงที่คุณดูแล้วอาจจะรู้สึกดีบวกกับหดหู่พร้อม ๆ กันก็เป็นได้

            ในด้านของนักแสดง  ของชมเชยนักแสดงทั้ง  Mile Teller  และ  J.K.Simmons  ที่เล่นเข้าคู่กันได้เป็นอย่างดี  จนทำให้เราเหมือนได้เห็นคู่เพื่อนรัก  ศิษย์อาจารย์  หรือผัวเมียที่หมดรักกันในเวลาเดียวกันก็ได้  ถือว่าเป็นคู่ที่ไม่ใช่เล่นเป็นคู่รักที่มีเคมีได้เข้ากันอย่างลงตัว  และสามารถแบกรับหรังทั้งเรื่องโดยไม่ต้องสนใจตัวละครอื่น ๆ  เลย

            ในเรื่องของบทภาพยนตร์ถือว่าหนังเป็นอะไรที่เล่าเรียบง่าย  เป็นหนังที่มีความทะเยอทะยานในตัวเองสูง  และไม่ซับซ้อนเพราะอาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนขยายจากหนังสั้นเท่านั้น  แถมหนังยังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มของคนรักดนตรีอย่างเดียว  แต่บทมันสามารถสะท้อนอะไรที่ให้เราได้หลากหลายกว่าที่ควรจะเป็น  จนทำให้เหมือนเราไม่ได้แค่ดูหนังดนตรีเพียงอย่างเดียวเสียหน่อย

            จุดที่น่าสนใจของหนังก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของประเด็นของศิษย์กับครู  ที่เคี่ยวเข็ญอยากให้เด็กได้ดี  จนบางทีอาจจะลืมไปเสียด้วยซ้ำว่ามันมากเกินไป  หรือน้อยเกินไป  หรือได้ถามเด็กบ้างหรือยังว่าเค้าต้องการเป็นใครหรือเป็นตัวเอง  หรือครูยัดเยียดความน่าจะเป็นให้  ซึ่งประเด็นนี้ของหนังถือว่าเป็นจุดขายที่ดีและน่าชื่นชมยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าเสียอีก

            หนังไม่ได้มอบแค่ความสุขเพลิน ๆ  ไปกับเสียงเพลง  แต่ยังได้ข้อคิดดี ๆ  ในเรื่องของการตามหาความฝันของตัวเอง  โดยหนังเลือกที่จะถามมากกว่าได้หาคำตอบกับสิ่งที่ทำลงไปว่า  ถ้าหากเป็นศิษย์  คุณเลือกที่จะเป็นอะไรกันแน่  หรือจะเป็นแบบไหนดีที่สุด  หรือหากเป็นครู  คำถามมันก็จะเกิดขึ้นว่า  ต้องการให้เด็กเป็นอะไร  เป็นตัวของตัวเอง เป็นบุคลที่  3  หรือเป็นในแบบที่ครูจงใจยัดเยียดกันแน่  นี่คือสิ่งที่หนังมอบให้พร้อมกับการที่สอนให้เราไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา  จนเราอาจลืมไปว่าโชคฃะตามันก็ไม่ได้เข้าข้างเสมอไป  แต่ถ้าเราพยายามทำมันต่อไป  ซักวันผลลัพธ์ที่ได้มันก็คุ้มค่าเหมือนดังคำที่ว่า  “พรสวรรค์หรืออจะสู้พรแสวง”





            9 / 10  หักคะแนนความโรคจิต ฮ่า ๆ ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น