วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Interstellar

ความเวิ้งว้างกับมิติพิศวง

          ถือเป็นหนังแห่งปีที่ทุกคนจับตามองแถมยังได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมาก  สิ่งหนึ่งที่เถียงไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงถูกจับตา  ก็เพราะหนังเรื่องนี้กำกับโดยคนที่หลาย ๆ คนยกให้เป็น  “เทพ”  ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วมั้ง  กับสุดยอดผู้กำกับคนนึงที่ชอบเจาะลึกไปที่เรื่องของจิตใจมนุษย์  แถมยังสื่อสารได้อย่างทรงพลังเสียอีกต่างหาก  แต่พอมาหนังเรื่องนี้โดยส่วนตัวกล้าพูดเลยว่า  ใครที่ดูแล้วจะมี  2  กลุ่มแบบชัดเจนเลยคือ  ถ้าไม่ชอบก็เข้าขั้นเกลียดเลยหล่ะ

            หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องโลกเข้าสู่ห้วงสุดท้ายในยุคเรา ทีมนักสำรวจต้องรับภารกิจที่สำคัญสุดในประ­วัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยการเดินทางสู่กาแล็คซี่อันไกลโพ้น เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ว่าในอนาคตมนุษยชา­ติอยู่ท่ามกลางดวงดาวได้หรือเปล่า  พร้อมประเด็นต่าง ๆ นา ๆ ที่คุณต้องลองไปสัมผัสเอาเอง


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย  “คริสโตเฟอร์ โนแลน”  ผู้กำกับที่สร้างชื่อและเป็นที่รู้จักได้สูงสุดจากเฟรนไชน์  “Batman”  ทั้ง  3  ภาค  (หรือว่าไม่จริง)  โดยเรื่องนี้เป็นการกับมากำกับโดยยังคงคอนเซ็ปต์เดิม  คือ  การเล่นและเข้าถึงจิตใจมนุษย์  หรือการเล่นกับจิตใต้สำนึกของคนเรานั่นหล่ะ  (Inception มั้ยหล่ะมึง)  เพียงแต่เรื่องนี้ผู้กำกับเหมือนประสบความสำเร็จ  จึงอยากทำแนวที่ตัวเองรักแบบสุดทิ่มลิ่มประตูยังไงยังงั้น  เรื่องนี้จึงใส่ความเป็นวิทยาศาสตร์  บวกกับเรื่องของความเชื่อต่าง ๆ ผสมผสานเข้ากันได้แบบที่กล้าพูดว่า  ถึงใส้ในกันเลยทีเดียว

            ในด้านของนักแสดงเรื่องนี้ต้องขอชมทีมนักแสดงทุกคนมาก ๆ  เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย  ทุกคนสามารถเล่นบทบาทของตัวเองได้เป็นอย่างดี  จนไม่จำเป็นที่จะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมารับหน้าที่แทน  ยกเว้นพระเอกอย่าง  “แมททิว แมคคอนนาเฮ”  ที่เรื่องนี้ดูแล้วโดยส่วนตัวมีความรู้สึกว่าเค้ายังไม่สลัดลุคของคาวบอยติดเอดส์ในเรื่อง  “Dallas Buyer Club”  ที่ทำให้เค้าได้เป็นนักแสดงนำชายเวทีออสการ์บังไงยังงั้น  ผิดกับทาง  “แอน ฮาทอเวย์”  ที่เล่นได้สุขุมมีมาดความเป็นนักวิทย์ที่กล้าเสี่ยงเพื่อมวลมนุษยชาติดี

            ในเรื่องของบทภาพยนตร์ถือว่าดีเอามาก ๆ ในการเล่าเรื่องราวในการผจญภัยครั้งนี้ได้น่าติดตาม  ยกเว้นเรื่องของฟิสิกข์ที่เข้ามามีบทบาทมากเกินไปจนบางครั้งกำลังนั่งคิดตามแต่หนังได้ทิ้งเราเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว  แต่จุดที่ส่วนตัวชอบเอามาก ๆ หรือถือว่าเป็นจุดพีคของหนังก็ได้ที่ว่าด้วยเรื่องของ  “Horizon Event” “Black Hole” “Gravity  ซึ่งจุด ๆ นี้สามารถเล่าเรื่องได้แบบเหลือเชื่อจนน่าติดตามแบบที่ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย  เสียแต่ประเด็นของความรักระหว่างพ่อลูกที่แลดูแล้วมันยัดเยียดกันจนเกินไป  จนทำให้รู้สึกว่าประเด็นความรักไม่จำเป็นต้องมีในหนังเรื่องนี้ก็ได้

            ในเรื่องของภาพถือว่าสามารถพาเราเดินทางไปยังอวกาศอันไกลโพ้นได้แบบจับต้องได้  และเข้าใจถึงการเกินทางไปยังดาวต่าง ๆ อย่างไร  ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความอึดอัดในพื้นที่ ๆ จะกัดบนความกว้างขวางที่ไม่มีที่สิ้นสุด  จนอดจะเปรียบเทียบกับหนังอวกาศอย่าง  “Gravity  เมียไม่ได้ยังไงไม่รู้

            ถึงแม้  Interstellar  จะเป็นหนังที่ค่อนข้างงงงวยอยู่พอสมควร  แต่สุดท้ายมันก็ยังหาทางออกให้กับมันจนได้  แต่มันก็ยังเป็นคำตอบที่ไม่ชัดเจนเหมือนดั่งเรื่องของความเชื่อและวิทยาศาสตร์ที่มักจะสวนทางกันอยู่เสมอ  จนสุดท้ายเราก็ไม่อาจรู้อยู่ดีว่าเรื่องของการย้อนเวลา  หยุดเวลา  การกลับไปอดีตเพื่อแก้ไขอนาคต  การได้เห็นตัวเองหลังความตาย  มันคือ “ความเชื่อ”  หรือ  “วิทยาศาสตร์”  ที่สามารถพิสูจน์ได้กันแน่





            8 / 10  เหมือนจะสุดแต่ก็ไม่สุด  เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังคงสงสัย  สรุปมันคือหนังไซไฟน้ำนี้ที่ต้องติดตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น