Interstellar
ความเวิ้งว้างกับมิติพิศวง
ถือเป็นหนังแห่งปีที่ทุกคนจับตามองแถมยังได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์เป็นจำนวนมาก
สิ่งหนึ่งที่เถียงไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงถูกจับตา ก็เพราะหนังเรื่องนี้กำกับโดยคนที่หลาย ๆ
คนยกให้เป็น “เทพ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วมั้ง
กับสุดยอดผู้กำกับคนนึงที่ชอบเจาะลึกไปที่เรื่องของจิตใจมนุษย์
แถมยังสื่อสารได้อย่างทรงพลังเสียอีกต่างหาก แต่พอมาหนังเรื่องนี้โดยส่วนตัวกล้าพูดเลยว่า ใครที่ดูแล้วจะมี 2
กลุ่มแบบชัดเจนเลยคือ ถ้าไม่ชอบก็เข้าขั้นเกลียดเลยหล่ะ
หนังเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องโลกเข้าสู่ห้วงสุดท้ายในยุคเรา
ทีมนักสำรวจต้องรับภารกิจที่สำคัญสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
โดยการเดินทางสู่กาแล็คซี่อันไกลโพ้น เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ว่าในอนาคตมนุษยชาติอยู่ท่ามกลางดวงดาวได้หรือเปล่า พร้อมประเด็นต่าง ๆ นา ๆ
ที่คุณต้องลองไปสัมผัสเอาเอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย “คริสโตเฟอร์ โนแลน” ผู้กำกับที่สร้างชื่อและเป็นที่รู้จักได้สูงสุดจากเฟรนไชน์ “Batman” ทั้ง 3
ภาค (หรือว่าไม่จริง) โดยเรื่องนี้เป็นการกับมากำกับโดยยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือ
การเล่นและเข้าถึงจิตใจมนุษย์
หรือการเล่นกับจิตใต้สำนึกของคนเรานั่นหล่ะ (Inception มั้ยหล่ะมึง) เพียงแต่เรื่องนี้ผู้กำกับเหมือนประสบความสำเร็จ
จึงอยากทำแนวที่ตัวเองรักแบบสุดทิ่มลิ่มประตูยังไงยังงั้น เรื่องนี้จึงใส่ความเป็นวิทยาศาสตร์ บวกกับเรื่องของความเชื่อต่าง ๆ
ผสมผสานเข้ากันได้แบบที่กล้าพูดว่า
ถึงใส้ในกันเลยทีเดียว
ในด้านของนักแสดงเรื่องนี้ต้องขอชมทีมนักแสดงทุกคนมาก
ๆ เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครเด่นไปกว่าใครเลย ทุกคนสามารถเล่นบทบาทของตัวเองได้เป็นอย่างดี
จนไม่จำเป็นที่จะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมารับหน้าที่แทน ยกเว้นพระเอกอย่าง “แมททิว แมคคอนนาเฮ” ที่เรื่องนี้ดูแล้วโดยส่วนตัวมีความรู้สึกว่าเค้ายังไม่สลัดลุคของคาวบอยติดเอดส์ในเรื่อง “Dallas Buyer Club”
ที่ทำให้เค้าได้เป็นนักแสดงนำชายเวทีออสการ์บังไงยังงั้น ผิดกับทาง
“แอน ฮาทอเวย์”
ที่เล่นได้สุขุมมีมาดความเป็นนักวิทย์ที่กล้าเสี่ยงเพื่อมวลมนุษยชาติดี
ในเรื่องของบทภาพยนตร์ถือว่าดีเอามาก
ๆ ในการเล่าเรื่องราวในการผจญภัยครั้งนี้ได้น่าติดตาม
ยกเว้นเรื่องของฟิสิกข์ที่เข้ามามีบทบาทมากเกินไปจนบางครั้งกำลังนั่งคิดตามแต่หนังได้ทิ้งเราเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่จุดที่ส่วนตัวชอบเอามาก ๆ
หรือถือว่าเป็นจุดพีคของหนังก็ได้ที่ว่าด้วยเรื่องของ “Horizon Event” “Black Hole” “Gravity” ซึ่งจุด ๆ
นี้สามารถเล่าเรื่องได้แบบเหลือเชื่อจนน่าติดตามแบบที่ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย เสียแต่ประเด็นของความรักระหว่างพ่อลูกที่แลดูแล้วมันยัดเยียดกันจนเกินไป จนทำให้รู้สึกว่าประเด็นความรักไม่จำเป็นต้องมีในหนังเรื่องนี้ก็ได้
ในเรื่องของภาพถือว่าสามารถพาเราเดินทางไปยังอวกาศอันไกลโพ้นได้แบบจับต้องได้ และเข้าใจถึงการเกินทางไปยังดาวต่าง ๆ
อย่างไร ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความอึดอัดในพื้นที่
ๆ จะกัดบนความกว้างขวางที่ไม่มีที่สิ้นสุด
จนอดจะเปรียบเทียบกับหนังอวกาศอย่าง
“Gravity” เมียไม่ได้ยังไงไม่รู้
ถึงแม้ Interstellar จะเป็นหนังที่ค่อนข้างงงงวยอยู่พอสมควร แต่สุดท้ายมันก็ยังหาทางออกให้กับมันจนได้ แต่มันก็ยังเป็นคำตอบที่ไม่ชัดเจนเหมือนดั่งเรื่องของความเชื่อและวิทยาศาสตร์ที่มักจะสวนทางกันอยู่เสมอ จนสุดท้ายเราก็ไม่อาจรู้อยู่ดีว่าเรื่องของการย้อนเวลา หยุดเวลา
การกลับไปอดีตเพื่อแก้ไขอนาคต
การได้เห็นตัวเองหลังความตาย
มันคือ “ความเชื่อ” หรือ “วิทยาศาสตร์”
ที่สามารถพิสูจน์ได้กันแน่
8
/ 10 เหมือนจะสุดแต่ก็ไม่สุด เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังคงสงสัย สรุปมันคือหนังไซไฟน้ำนี้ที่ต้องติดตาม