วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

The Lunchbox
เมนูเปลี่ยนใจคน

          นานแล้วที่ผมไม่ได้ดูหนังอินเดีย  หรือถึงดูก็น้อยเรื่องนักที่จะเกิดความประทับใจ  เรื่องล่าสุดคงหนีไม่พ้น  Slumdog Millionaire  กับรางวัลการันตีออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเมื่อปี  2008  จนได้มาพบกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ครั้งแรกเมื่อได้ดูตัวอย่างหนัง  จุดที่สนใจที่สุดนั่นก็คืออาชีพส่งปิ่นโตอาหารกลางวันของคนอินเดีย  ทำให้อยากรู้จักอาชีพนี้มากขึ้นแล้วหนังจะสามารถเดินเรื่องไปในทิศทางไหน  ซึ่งเรื่องนี้ผมขอติงโรงภาพยนตร์ในบ้านเราที่หนังเรื่องนี้ฉายไม่กี่โรงเลย  แถมโรงใหญ่ก็เข้าแค่สัปดาห์เดียวแบบเต็ม ๆ ก็แค่อาทิตย์เดียว  พออาทิตย์ต่อมาก็เหลือไม่กี่รอบแถมเหลือไม่กี่โรงหาดูยากชิบหาย  ยังดีที่บ้านเรามีโรงภาพยนตร์ชื่อว่า  "House"  ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีเฉพาะหนังอินดี้  (คนส่วนมากเรียกแบบนั้น)  แต่ผมขอบอกกับทุกคนเลยครับว่า  คุณลองไปดูซักครั้งที่โรงนี้ซักเรื่องแล้วคุณจะได้รับความประทับใจอย่างล้นหลามเลยหล่ะ  (ส่วนตัวเมื่อก่อนดูหลายเรื่องที่นั่น  ถ้าเรื่องไหนไม่เข้าโรงใหญ่หรือไม่อยู่ในกระแสมันเลยจำเป็นที่ต้องไปดู  ราคาบัตรแค่ 100 บาท  ถูกชิบหาย)

            ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึง อิลา (นิมรัต คาอูร์) แม่บ้านที่สามีไม่ไยดีอะไรในตัวเธอ เธอจึงพยายามทำอาหารสุดฝือมือใส่ปิ่นโตให้กับสามีไปทานมื้อเที่ยงที่ทำงานทุก ๆ วัน ทว่าเกิดความผิดพลาดของคนส่งเมื่อปิ่นโตสูตรมัดใจผัวดันไปอยู่ที่  ซาจาน เฟอร์นันเดส (อิร์ฟาน ข่าน) เสมียนหนุ่มใกล้ปลดเกษียณ จนเกิดเป็นเรื่องราวประทับใจระหว่างคน  2  คน  ที่ไม่เคยเจอกันแต่ดันเข้าใจกัน  (ถ้ามีฉากวิ่งไล่จับนี่ฮาเลยนะ)

            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  ริเทรช บาทรา  ซึ่งเมื่อดูจากโปรไฟล์แล้วนั้นเคยแต่ผ่านงานหนังสั้นมาทั้งนั้น โดยเรื่องนี้เป็นหนังใหญ่เรื่องแรกของเค้ากันเลยทีเดียว  ต้องบอกเลยว่าเป็นการกำกับหนังใหญ่ที่ดูดีมากและสามารถเติบโตในวงการได้อีกไกลเลยทีเดียว  เพราะเค้าไม่ได้แค่เอาใจใส่ในเรื่องของบทที่มีเฉพาะเรื่องรัก ๆ เท่านั้น  แต่เค้ายังสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมของอินเดียในหลาย ๆ ด้านให้เราได้เห็นจนเกิดความประทับใจในหลาย ๆ ด้านกันเลยทีเดียว

            ในเรื่องของการแสดงต้องขอชมอิร์ฟาน ข่าน  คนนี้เคยแสดงหนังที่ผ่านตามาอย่าง Life of Pi  มาแล้ว  ซึ่งสามารถคุมหนังได้เป็นอย่างดีในบทของเสมียนใกล้เกษียณ  หรือถ้าพูดหยาบ ๆ ก็คือคนแก่หัวดื้อที่ไม่ยอมให้ใครมาดัดดั่งสำนวน "ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก"  ได้เป็นอย่างดีมาก  และนิมรัต คาอูร์  ในบท "อีล่า"  ที่เล่นเป็นภรรยาผู้ซึ่งพยายามทำทุกอย่างให้สามีรักในสังคมแห่งชนชั้นวรรณะถ่ายทอดได้เป็นอย่างดี  หรือจะเป็น  ยาวาซูดดิน ซุดดิควิ  ในบทชื่ออะไรจำไม่ได้  ซึ่งถือว่าเป็นตัวขโมยซีนและขาดไม่ได้เลย  เพราะถ้าขาดตัวนี้ไปหนังจะไม่มีความสนุกหลงเหลือเลยแม้แต่น้อย  และที่ขาดไม่ได้คือเสียงพากย์คุณป้า หรือ "อันตี้"  โดย บฮาราติ อัคคา  (มาเฉพาะเสียง)  ที่ทำเอาเราอมยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่องเมื่อมีเสียงคุณป้าคนนี้เลย

            ในส่วนของบทหนังมันอาจจะเป็นหนังรักสูตรเกือบสำเร็จที่ใส่วัฒนธรรมความเป็นอินเดียทั้งในเรื่องของมนุษย์เงินเดือน  แม่บ้านแม่เรือน  ชนชั้นแรงงาน  การเดินทางและสภาพบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี  (แต่ยังไม่เท่า Slumdog Millionaire)  แต่หนังยังใส่ใจในรายละเอียดในเรื่องเส้นเดินทางของปิ่นโตและผมของตัวเอกทั้ง  ไว้อย่างหนาแน่นจนถ้าใครไปดูแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะเอาใจช่วยทั้ง  ตัวละครให้ได้สิ่งที่ต้องการกันเลยหล่ะ  แถมยังมีบทพูดคำคมที่ซึ้งกินใจและจิกกัดประเทศตัวเองได้แบบแสบ ๆ คัน ๆ มากเลยทีเดียว

            ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้แต่ยัดเยียดเรื่องของความรักและความตลกอย่างเดียว  แต่มันยังสอนให้เรารู้จักคำว่าอ่อน  ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่แค่ไหน  แค่คำว่าอ่อนก็จะสามารถทำให้เราเข้าใจถึงจิตใจของคน ๆ นั้นได้เป็นอย่างดี  และสามารถปรับนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้แบบไม่เขินอาย  แถมยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมของสังคมอินเดียที่ผู้ดีไทยอาจมองว่า  "ต่ำ"  แต่ถ้าคุณได้ดูเรื่องนี้อาจจะต้องไปส่องกระจกพร้อมคำถามว่า "ใครกันแน่"  ก็เป็นได้  ถือว่าเป็นหนังต่างประเทศเรื่องนึงที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

            8.5 / 10



Ps. ชอบบทพูดอยู่ 2 ประโยคมาก ๆ (ขอสปอย)
-          Sometimes the wrong train will get you to the right station
   บางครั้งการนั่งรถไฟผิดขบวน อาจพาเราไปถึงสถานีที่ใช่ก็ได้
-          ความสามารถนั้นมันไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศนี้ได้
Need For Speed
ซิ่งสายฟ้า ตายห่าช่างมัน

          ถ้าจะกล่าวถึงชื่อของ  Need For Speed  เชื่อว่าเหล่าเกมส์เมอร์ทั่วโลกไม่มีใครไม่รู้จัก  เพราะมันคือเกมส์รถแข่งเกมส์หนึ่งที่โด่งดังที่สุดเกมส์หนึ่งของโลกไม่ต่างจาก  Grand Turismo  หรือ  Ridge Racer  เป็นอย่างแน่นอน  แต่สิ่งที่แตกต่างจากทั้ง  เกมส์ที่กล่าวข้างต้นนั้นก็คือ  NFS  (ขอเรียกชื่อย่อนะครับ)  เป็นเกมส์แข่งรถที่อยู่บนถนนคนเดินไม่ใช่ในสนามแข่งรถอย่างถูกต้อง  แถมยังสามารถเลือกซื้อชุดแต่งต่าง ๆ นา ๆ จนเป็นที่ถูกใจคอเกมส์เรซซิ่งกันล้นหลาม  แต่ก็อย่างที่ทราบครับว่าหนังที่ถอดมาจากเกมส์หลายต่อหลายเรื่องนั้นไม่ประสบความสำเร็จเลยซักเรื่อง  อาทิ  Resident Evil  หรือ  Siren Hill  ที่ทำให้คอเกมส์ที่ไปดูหนังร้องยี้มานักต่อนักแล้ว  แต่กลับไม่ใช่กับภาพยนตร์เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

            ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึง  โทบี้ มาร์แชล (อาร์รอน พอล) เจ้าของอู่แต่งรถที่อีกบทบาทนึงของเขาคือนักซิ่งที่ใช้ท้องถนนเป็นสนามแข่งขั­น แต่ด้วยสภาพการเงินที่ไม่สู้ดีนัก เขาจึงต้องเป็นต้องร่วมงานกับ ไดโน่ บริวส์เตอร์ (โดมินิค คูเปอร์) นักแข่งรถผู้ร่ำรวยแถมยังเป็นคู่ปรับในอดีต  จนทำให้ตัวโทบี้เองถูกใส่ร้ายต้องไปนอนเล่นในคุก  โทบี้จึงได้แค่รอวันเพื่อล้างแค้นไดโน่ให้จงได้

            กำกับการแสดงโดย  สก๊อตต์ วอห์น  ที่หลาย ๆ คนยังติดใจกับผลงานเก่าของเค้าอย่าง  Act of Valor หนังที่นำหน่วยซีลมาแสดงจริงและใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งในการนำเสนอ  ซึ่งจุดนี้คิดว่าอาจจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้กำกับคนนี้เลือกที่จะทำหนังอย่าง  NFS  เพราะเรื่องก่อนหน้านั้นเอาใจแฟนเกมส์แนวสงคราม  ส่วนเรื่องนี้ก็มาจับแนวเรซซิ่งดูบ้าง  ซึ่งก็สามารถทำได้ดีเลยทีเดียว

            ในเรื่องของการแสดงต้องขอชม  อาร์รอน พอล  และ  โดมินิค คูเปอร์  ในบทพระเอกและตัวร้ายที่ต่างคนต่างเล่นได้เป็นอย่างดีเยี่ยม  สามารถคุมโทนของหนังได้อย่างไรที่ติ  ถึงแม้ตัวของอารอน  พอล  อาจจะยังดูแข็งเกินไปแต่เมื่อดูสีหน้าในการแสดงนั้นก็ยังสามารถกลบเกลื่อนไปได้  แต่ที่ไม่เอ่ยชมได้เลยนั่นก็คือ  อิโมเจน พูท  ในบทสาวนายหน้าค้ารถ  "จูเลีย โบเนท"  ที่เล่นได้อย่างไร้เดียงสาแต่ไม่ไร้สมองได้เป็นอย่างดีจนคุณอาจหลงรักสาวจากลอนดอนคนนี้ก็ได้  รวมทั้ง  แฮริสัน กิลเบิร์ทสัน  ในบท  "พีท"  ที่เป็นตัวขโมยซีนจนคุณหลงรักในระยะสั้น ๆ  ถึงแม้จะมีบทน้อยไปหน่อยก็ตามแต่

            ในส่วนของบทหนังอาจจะดีเพราะว่าคนเขียนบทคือ  พี่น้อง  แกติน  ที่เคยเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง  "Real Steel"  หนังพ่อลูกมีหุ่นเป็นโซ่คล้องใจที่ซึ่งกินใจของใครหลาย ๆ คนมานักต่อนัก  ซึ่งเชื่อว่าใครหลายคนอาจจะต้องการเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เรื่อง  "Fast & Furious"  โดยฟาสนั้นจะเน้นไปที่เรื่องของครอบครัวและความเว่อของการแข่งรถค่อนข้างมาก  (ไม่ขอเปรียบเทียบกับภาค 4, 5, 6 เพราะมันไม่ใช่หนังรถแข่งแล้ว)  แต่กับเรื่องนี้จะเน้นในเรื่องของการรักพวกพ้องที่อยู่ด้วยกันมาและเรื่องหนุ่มสาวในสถานะการณ์คับขันจนเกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจซะเป็นส่วนใหญ่

            หนังเรื่องนี้ถ้าเปรียบเทียบกับหนังดังเรื่องที่กล่าวอ้างมานั้นจุดที่ต่างและดูดีกว่าก็คือความ  "Real"  คือหนังยังอยู่ในความเป็นจริงเกี่ยวกับการแข่งรถบนท้องถนนอย่างเห็นได้ชัด  ส่วนในด้านอื่น ๆ อาทิการตัดต่อภาพขอชมว่าสามารถทำให้เราตื่นเต้นได้ตลอดเวลาที่มีฉากแข่งรถ  บวกกับการที่ไม่ใส่เพลงประกอบเข้าไปทำให้เนื้อหนังได้อรรถรสเป็นอย่างดี  และถ้าพูดถึงสิ่งที่หนังมาทำเป็นเกมส์แล้วยังเป็นข้อด้อย  แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับกลายเป็นหนังที่ไม่ได้ยืมแค่ชื่อมาอย่างเดียวเท่านั้น  แต่มันเป็นหนังที่ทำมาเพื่อคาราวะเกมส์ลยก็ว่าได้  เพราะทำหลายฉากหลายซีนที่ถอดมาจากเกมส์จนคนเล่นเกมส์อยากจะกลับไปเล่นมันอีกครั้งเลยหล่ะ

            ใครที่ชอบหนังรถแข่ง  ดูแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากจะซิ่งบนท้องถนน  (ไม่ควรนะ)  ถือว่าเรื่องนี้ตอบโจทย์ขาซิ่งได้อย่างชัดเจนมากเลยทีเดียว
 8 / 10 

ปล. นิยามหนังเรื่องนี้ให้เล่น ๆ

            ถ้าดูฟาสแล้วคุณอยากแต่งรถ  แต่ถ้าคุณดู  NFS  คุณจะอยากได้  Super Cer  อย่างแน่นอน
Noah
น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหลงเหลง

          จัดว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีการโปรโมตแรงมา  ทั้งตัวอย่างฉากน้ำท่วมโลกต่าง ๆ นา ๆ  ใบปิดที่แลดูหน้าสนใจ  การใช้นักแสดงชั้นนำระดับรางวัลออสการ์  หรือจะเป็นการชูนักแสดงวัยรุ่นสาวสุดสวยอย่าง  "เฮอไมโอนี่"  แต่เหตุผลหลัก ๆ คงเป็นเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ถอดมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ลเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าผู้สร้างโลกนั่นเอง

            ด้วยพระประสงค์แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่พยากรณ์ว่าจะถึงวันสิ้นโลก น้ำจะท่วม ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้ แต่ไม่มีใครเลยที่เชื่อในคำเตือนอันตรายนี้  มีเพียงโนอาห์ และครอบครัวเท่านั้นที่เชื่อ  พวกเขาจึงได้กระทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนขึ้นมานั่นคือการสร้างเรือ

            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  ดาร์เรน อโรนอฟสกี้  ที่เคยผ่านงานอย่างภาพยนตร์เช่นเรื่อง  Requiem for a Dream, The Wrestler, Black Swan  โดยจะสังเกตุได้ว่าแต่ละเรื่องนั้นค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่มจริง ๆ และจะเล่นกับจิตใจของมนุษย์เป็นหลักเสมอ  ซึ่งถือว่า  Noah  นั้นเป็นหนังตลาดเรื่องแรกของผู้กำกับก็ได้ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะท้าทายเป็นอย่างมาก  และก็ยังเล่นกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ไม่เสื่อมคลาย  แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังสามารถทำให้หนังดูเป็นตลาดเลยแม้แต่น้อย  เพราะตัวหนังยังคงมีความเป็นสไตล์การทำหนังของผู้กำกับอย่างเต็มตัวอยู่ดี  นั่นก็คือหนังค่อนข้างลึก  ถึงแม้จะไม่เหมือนเรื่องอื่น ๆ แต่ก็ยังไม่จางอยู่ดี

            ในเรื่องของนักแสดงต้องขอชม  รัสเซล โครว์  กับบทของ  "โนอาห์"  ว่าสามารถรับบทนำได้อย่างดีเยี่ยม  สามารถแสดงบทพระเอกในคราบของคนที่มีจิตใจอำมหิตได้อย่างดีเยี่ยม  แต่ก็ยังไม่เท่ากับ 
แอนโธนี่  ฮ็อปกินส์  ในบทของ  "แมตเซล่า"  (ชื่อผิดขออภัย)  ที่สามารถเล่นเป็นตัวร้ายได้อย่างยอดเยี่ยมจนอาจมองในหนังว่านี่มันคือฮีโร่ชัด ๆ  ส่วนอีกคนที่ไม่ชมไม่ได้นั่นก็คือ  เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่  ในบท  "นาเม่"  เมียของโนอาห์  (ชื่อผิดขออภัย)  ก็สามารถเล่นได้ตามบทที่ตัวเองได้รับเป็นอย่างดี 
ยกเว้นเอมม่า วัตสัน  ในบท  "อีล่า"  ซึ่งเหมือนกับว่าผู้กำกับจะให้เธอเป็นตัวชูโรงของหนังเรื่องนี้  แต่ผมรู้สึกผิดหวังกับการแสดงของเธออย่างมาก  ทั้งอารมณ์หรือสีหน้ามันค่อนข้างไปโทนเดียวกันตลอด  หรืออาจจะเป็นเพราะผมชอบเธอมากในเรื่อง  "
The Bling Ring"  ก็เป็นได้มั้งนะ

            ในเรื่องของบทหนังนั้นต้องบอกว่าเป็นอะไรที่มั่วซั่วและเอื่อยเฉื่อยไปหมด  ทั้งบทที่เหมือนยังไม่ลงล็อคเป็นอย่างดี  ตลอดจนการเล่าเรื่องที่ให้ชวนหลับไม่น่าติดตามถึงการเดินทางของโนอาห์เลยแม้แต่น้อย  คือหนังไม่สามารถทำให้เรารู้สึกอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดหรืออะไรที่ทำให้ชายผู้นี้ถึงเชื่อในพระเจ้าจังเลยว่ะ  รวมทั้ง  CG  ตัวประหลาด  อ่อลืมบอกไปว่า  ตอนแรกคิดว่าตัวหนังจะมีเฉพาะมนุษย์  แต่ในหนังกลับมีตัวอะไรด้วยนะขอสปอยหน่อย  ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเหมือนในคัมภีร์ไบเบิ้ลหรือป่าว  ไม่ใช่ลบหลู่นะครับแต่สิ่งที่ใส่มาในหนังผมมองว่ามันดูงมงายเกินไปด้วย  มาต่อกันที่ด้าน  CG  ที่ขอสับเลยว่าหยาบมาก  ไม่ได้มีความสมจริงเลย  มีดีแค่ฉาก  Time Lab  เท่านั้นที่ดูออกสวย  และก็ฉายตอนน้ำท่วมนั่นหล่ะที่ทำออกมาดูดีอยู่แต่มั้นก็มีแค่นั้นจริง ๆ

            แต่หนังก็ยังมีส่วนดีในเรื่องของการให้แง่มุมของมนุษย์โดยเฉพาะเรื่องของจิตใต้สำนึกเป็นอย่างดี  ซึ่งถ้าใครต้องการดูเรื่องของจิตใจมนุษย์ผมว่าเรื่องนี้ตอนโจทย์คุณได้มากในหลาย ๆ ด้าน  ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง งมงาย บ้า คลั่ง สารพัดที่คุณสามารถหามันได้ในเรื่องนี้  แต่มันก็เป็นแค่ส่วนเดียวจริง ๆ ที่พอจับต้องได้




            5 / 10

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

Captain America : The Winter Soldier

ฮีโร่กับโล่บูมเมอร์แรง

          ถือเป็นภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ทั้งโลกจับตามองกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่จากค่าย  มาเวลสตูดิโอ  ซึ่งถือว่าเป็นฮีโร่คนที่ 3  ต่อจากมนุษย์เหล็กและไอ้ค้อนสายฟ้า  หลังจากเหตุการณ์รวมพลฮีโร่ทลายโลกภาคแรกแล้วนั้น  ก็มาถึงคิวของหัวหน้าแก็งค์มนุษย์แช่แข็งรูปงามนาม  “กัปปิตันอเมริกาโน่”  มาอวดหุ่นโชว์พลังกันเสียที

            ภาคนี้เป็นภาคที่ต่อเนื่องจาก The Avengers  ไม่ใช่จากภาคแรกของตัวกัปตันเอง  โดยจะเล่าถึงการปรับตัวของกัปตันในยุคไอโฟน  ต้องร่วมมือกับ นาตาชา โรมานอฟ หรือ แบล็ค วินโดว์  ต่อสู้กับองค์กรมืดซึ่งก็คือศัตรูที่รักตัวเดิมในยุคแรกนั่นหล่ะ  (ใครไม่เคยดูภาคแรกก็แนะนำก่อนไปดูภาคนี้ หมายถึงหนังของกัปตันนะไม่ใช่รวมพลยอดมนุษย์)  พร้อมเปิดตัวคู่หูใหม่อย่าง “ฟัลคอน”  นำทีมโดยกุนซือตาเดียว “นิค ฟิวรี่

            ภาคนี้เปลี่ยนผู้กำกับจาก Joe Jonhston  ที่ทำภาคที่แล้วได้อย่างน่าผิดหวัง  มาเป็น 2 พี่น้อง  Anthony Russo และ Joe Russo  พี่น้องที่เคยกำกับภาพยนตร์ผ่านตาอย่าง  Yoy, Me And Dupree  ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ก้าวกระโดดพอสมควรเพราะ 2  พี่น้องนี้จะทำหนังซีรี่ย์ซะเป็นส่วนใหญ่  แถมเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลยจริง ๆ  นั่นจึงเป็นงานที่หนักเอาการทีเดียว  พร้อมด้วยเหล่านักแสดงเซ็ตเดิมจากภาคที่แล้ว เพิ่มมาหลัก ๆ ก็เพียงแค่  Anthony Mackie  ในบทของ “ฟัลค่อน”  เท่านั้นเอง  นอกนั้นตัวอื่น ๆ ก็ให้ผ่าน ๆ ไปเหอะ

            ในส่วนของนักแสดงถือว่าทุกคนยังเล่นได้ตามบทบาทของตัวเองที่รับมอบหมายได้อย่างดีเยี่ยม  ทั้งตัวของ  Chris Evan, Samuel L. Jackson, Sebastian Stan ในบท Bucky Barnes  ส่วนของ Anthony Mackie  ในบท “ฟัลค่อน”  ถือว่าแสดงได้ดีในระดับนึงเท่านั้น  ตัวของ  Robert Redford  ในบทหัวหน้าตัวร้าย  Alexander Pierce  ก็ไม่สามารถทำให้เราจดจำซักเท่าไหร่  ส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดในส่วนตัวหนีไม่พ้น  Scarlett Johansson  ในบท Black Window  เพราะภาคนี้เล่นได้แบบแข็งกระด้าง สีหน้าอารมณ์โทนเดียวทั้งเรื่อง  คือถ้าใครคิดไม่ออกให้คิดถึงการแสดงของ “บอม ธนิน” ในละคร “คิวบิก” ทางช่องน้อยสีนะ  แล้วจะรู้ว่าเป็นยังไง

            ในส่วนของบทภาพยนตร์ต้องบอกว่ามันคือหนังสูตรสำเร็จ  “ตำรวจจับผู้ร้าย”  ที่เราสามารถคาดเดามันได้ไม่ยากเย็นจนมันไม่มีอะไรให้เราได้ค้นหาและน่าสนใจเท่าใดนัก  โดยเฉพาะการทิ้งปมเอย หักมุมเอย  มันไม่สามารถทำให้เราสนุกได้มากเท่าที่ควร  โดยเฉพาะเรื่องที่มาของ “ฟัลค่อน”  ก็ไม่ได้บอกละเอียดเหมือนอยู่ดี ๆ ตู้มกูมีปีกเป็นผู้ช่วยไปซะอย่างงั้น  หรือจะเป็นที่มาของ  Bucky Barnes  ที่หนังก็ไม่ได้บอกว่ามาเพราะอะไร  มันจึงเป็นการทิ้งปมแล้วไม่แก้ให้สำหรับคนดูที่ไม่ใช่แฟนมาเวล (ในส่วนนี้แฟนมาเวลคงไม่ซีเรียส แต่เชื่อว่าจะไปซีเรียสเรื่องเครื่องแต่งกายมากกว่า)

            แต่ตัวหนังก็มาทำได้ดีในส่วนของแอคชั่นนั่นหล่ะ  เพราะว่าภาคนี้จัดเต็มเรื่องแอคชั่นมากกว่าภาคแรกมากนัก  เพราะหนังมันดูสเกลใหญ่  ตีกันมันขึ้น  ดูมีอะไรมากขึ้นกว่าตัวแรก  แต่ให้สอบตกเรื่องมุมกล้องที่สั่นเกินไปกับการตัดต่อที่ปวดหัวไปหน่อยแค่นั้น

            หนังยังมีการสอดแทรกเรื่องของการเมืองแอบกัด ๆ นาซีได้แบบพอแสบ ๆ คัน ๆ มีมุกตลกที่พอทำให้เราขำได้หน่อย ๆ  เป็นอีกเรื่องที่แฟนมาเวลไม่ควรพลาด แต่คนไม่ใช่แฟนมาเวลก็แนะนำให้ไปดูกัปตันภาคแรกกับอเวนเจอร์ไว้หน่อยเพื่อประกอบความเข้าใจ  ไม่งั้นคุณอาจจะงงที่มาที่ไปของตัวละครทั้ง Bucky Barnes  หรือ Dr. Arnim Zola  ก็เป็นได้...

6 / 10


ปล. หนังจบอย่างพึ่งลุก มีเครดิต 2 ตัว Mid Credit  จะเชื่อมโยงไปยัง The Avengers 2 มั้ง ส่วน End Credit จะเชื่อมโยงไปยังภาค 3 มั้ง แต่ต้องนั่งรอประมาณซัก 6 นาทีจะได้คุ้มค่าบัตรที่เสียไป

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

คิดถึงวิทยา

บันทึกความเป็นครู

          จัดว่าเป็นหนึ่งภาพยนตร์จากค่ายหนังอารมณ์ดีที่ทุกคนรอคอย  ซึ่งปีนึงจะต้องมีมาให้เราได้เสียเงินเพื่อไปชมกันซักเรื่อง  ซึ่งปีนี้ค่าย  GTH  ก็ได้ฤกษ์ส่งหนังเรื่องใหม่แกะกล่องที่แค่มองดูโปสเตอร์และตัวอย่างแล้ว  เชื่อว่าหลายคนนั้นจ้องที่จะไปดูแบบไม่มีทางพลาดแน่นอน

            คิดถึงวิทยานั้นเล่าถึงชีวิตของครู  2  คน  ที่คนหนึ่งถูกเนรเทศ  ส่วนอีกคนนั้นร้องขอเต็มใจที่จะไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของการเป็นครู  ในโรงเรียนสุดกันดาลกลางแพร  โดยครูแอน (พลอย เฌอมาลย์)  คือผู้ที่ถูกเนรเทศแล้วต้องมาใช้ชีวิตที่ลำบากพร้อมเขียนบันทึกความในใจ  ส่วนครูสอง (บี้ สุกฤษฏ์)  คือผู้ที่เข้ามาอ่านบันทึกชีวิตความเป็นอยู่จนเกิดความรักแบบงง ๆ (แม่งโคตรเหมือนหนังเกาหลีที่นัดเจอกันแต่แม่งอยู่คนละยุคยังไงยังงั้น)




            เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย “ต้น นิธิวัฒน์”  ผู้ที่เคยทำหนังให้ได้เห็นกันอย่าง  “Season Change”  และ  “หนีตามกาลิเลโอ”  ถ้าใครได้ดูผลงานเก่าจะแปลกใจอย่างแรกเลยคือรอบนี้ตลาดกลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  เพราะ  2  เรื่องแรกนั้นเป็นแนวเด็ก ม.ปลาย หนีเรียนตามหญิงกับเด็กมหาลัยอยากเที่ยวเมืองนอก  เรื่องนี้เลยเปรียบเสมือนการโตขึ้นตามวัยของผลงานหรือเปล่า (ม.ปลาย, มหาลัย, วัยทำงาน เรื่องหน้าก็คงเป็นวัยทอง ต่อด้วยวัยเกษียญ จบด้วยวัยหลังตายมั้ง ฮ่า ๆ ๆ)

            โดยในเรื่องของบทหนังนั้นบอกได้คำเดียวว่ามันอาจจะเป็นสไตล์ที่ถนันดของผู้กำกับก็ว่าได้  ซึ่งถือว่ายังไม่ฉีกแนวมากนักจากผลงานเดิม ๆ  มันจึงเป็นหนัง  Feel Good  เพียงแต่การเล่าเรื่องจะเป็นแบบตัดสลับระหว่าง  2  ช่วงเวลาแต่อยู่ในสถานที่และมิติเดียวกัน  (ไม่เหมือนเกาหลีตรงจุดนี้)  ราบรื่นเบาสมองไม่ต้องคิดเยอะ แต่ติดอยู่ที่ปมของหนังบางอย่างนั้นทิ้งไว้แต่ตัวหนังกลับทิ้งมันไปด้วยเหมือนตั้งใจลืมมันไปยังไงยังงั้นว่าเหตุใดเหตุการณ์นี้มันจึงเกิด  ทำให้ตัวหนังไม่ค่อยมีอะไรให้ได้ค้นหาเท่าใดนัก

            ส่วนของนักแสดงบอกได้เลยว่าสามารถฉุดให้หนังดูดีขึ้นถึงแม้ถ้าบทมันห่วย  แต่ได้เทพเล่นหนังก็ดีมาก ๆ  ในส่วนนี้ขอชมนักแสดงทั้ง  2  โดยเฉพาะพลอยที่ถ้าใครนำไปเปรียบเทียบในบทนางเอกคราบนางร้ายใน “สามีตีตาแตก”  แล้วทำให้คุณคิดว่านั่นคือ “กั้ง”  แล้ว  เรื่องนี้พลอยสามารถแสดงได้แบบที่ทำให้เราเชื่อว่านี่มันคือ  “ครูแอน”  ได้ไปโดยปริยาย  แล้วที่สำคัญหนังเรื่องนี้ทั้งคู่ไม่ได้แสดงร่วมกันเลย  คือมีแค่ซีนเดียวที่ได้ต่อบทกัน  จึงทำให้ทั้งคู่ได้เล่นกับตัวเอง  ซึ่งแสดงได้ดีเอามา ๆ  พร้อมกนนี้ยังมีแก๊งค์นักเรียนที่มาคอยสร้างรอยยิ้มให้เราได้เสมอ

            หนังแอบมีจิกกัดระบบการศึกษาไทยได้แสบเอามาก ๆ ระหว่างคำว่าโบราณกับล้ำสมัย  (ไม่ขอบอกว่าคืออะไรไปดูเอา)  ที่เชื่อว่าถ้าครูที่อายุ  40  ปีขึ้นไปได้ดูรับรองว่ามีสะดุ้งเฮือกเอาก็เป็นได้

            ถือว่าเป็นหนังน้ำดีในห้วงบ้านเมืองและอากาศร้อนพอกันที่แนะนำว่าควรไปดู  โดยเฉพาะคนที่ประกอบวิชาชีพครูแล้วนั้น  ผมว่าเรื่องนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะไปดูแล้วเชื่อว่าคนที่เป็นครูรุ่นใหม่จะได้รับอะไรที่ดีมากเพื่อไปใช้ในการเรียนการสอนได้ดีอีกด้วย  ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นครูก็ไปดูเพื่อความบันเทิงหรือจิ้นกับความรักแปลก ๆ ได้สบาย ๆ เพราะหนังอาจจะไม่ได้ทำให้เรามีรอยหยักในสมองมากขึ้น  แต่มันก็ทำให้เราได้ยิ้มมากขึ้นมาอีกด้วย


            8 / 10

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

Non - Stop

เที่ยวบินหรรษา

          ถือเป็นภาพยนตร์ที่ออกฉายได้จังหว่ะพอเหมาะพอดีจนเหมือนเป็นการวางแผนไปในตัว  กับเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่อาจลืมเลือนเมื่อเที่ยวบิน  MH 370  พร้อมผู้โดยสานและลูกเรือกว่า  239  หายสาบสูญโดย  ณ  ขณะนี้ก็ยังไม่มีใครทราบสาเหตุ ยังไงก็ตามถึงแม้จะใช้เวลาแค่ไหนเชื่อว่าทุกคนบนโลกก็อยากจะทราบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แน่นอน



            ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึงบิล มาร์ค ตำรวจอากาศ  (เกิดมาพึ่งเคยเห็นอาชีพนี้)  ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้โดยสารบนเครื่องจนถึงจุดหมายปลายทางโดยแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มผู้โดยสาร  แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีข้อความแชท  (ไวไฟบนเครื่อง)  ขู่ให้โอนเงิน  150  ล้านเหรียญ ถ้าไม่โอนทุก ๆ  20  นาทีบนเครื่องจะต้องมีคนตาย  ความระทึกจึงเกิดขึ้นนะบัดดลเพื่อที่จะต้องจับคนร้ายบนเครื่องให้ได้

            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย  Jaume Collet-Serra  ที่เคยฝากฝังหนังสยองระทึกประสาทอย่าง  House of  Wax  หรือจะเป็นอีแก่แอ๊บเด็ก  Orphan  โดยคราวนี้เค้ามาจับงานแอคชั่นระทึกคนดู  โดยมีนักแสดงสุดเก๋าอย่าง  Liam Neeson  กับบทหมาแก่มีปมแต่ระดับความบู๊ไม่ต้องพูดถึง  (กลับไปดูหนังเก่า ๆ ของลุงแก่ดิ ใครจะเชื่ออายุ  60  จะระห่ำขนาดนี้)  ร่วมด้วย  Julianne Moore  นักแสดงสาวมากความสามารถ

            หนังให้ความสำคัญตั้งแต่เปิดหัวเรื่อง  คือถ้าใครไม่จับใจความตั้งแต่ต้นความสนุกอาจจะหายไปก็เป็นได้  ทั้งการเดินเรื่องแบบเงียบ ๆ  ให้เราได้คิดตามไปด้วย  ทั้งเรื่องของผู้โดยสารคนไหนอาจจะเป็นผู้ร้าย  หรืออาจมีความไม่ไว้วางใจตัวเอกของเรื่องซะเองก็เป็นไปได้อีก  เพราะหนังเน้นบีบคนดูด้วยเรื่องของเวลากับภารกิจล่าคนร้าย  จนทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นทุก  20  นาทีเลยก็เป็นได้  แต่มันก็อาจจะมีแค่นั้นจริง ๆ ถ้าพูดถึงความสนุก

            เพราะตัวหนังก็ยังไม่หนีสูตรสำเร็จของคำว่าหนังแอคชั่น  คือ  ตำรวจจับโจร  เส้นเดินเรื่องมันยังเป็นเส้นตรงเกินไปโดยไม่มีปมไม่มีหักมุม  หรือมีแต่อาจจะน้อยจนเกินไป  ทำให้สามารถเดาเรื่องได้ค่อนข้างง่าย  ยังดีที่ผู้กำกับเลือกใช้  “เวลา”  ในการบีบอัดความตื่นเต้นให้คนดูได้ระทึกทุก  20  นาที

            โดยรวมแล้วถือเป็นหนังแอคชั่นน้ำดีเรื่องนึงที่ไม่ควรพลาด  ประกอบกับเหตุการณ์เครื่องบินหายในตอนนี้  พร้อมกับแขวะรัฐบาลอเมริกาเรื่องของความปลอดภัยอยู่ที่ใด  เพราะแม้แต่บนเครื่องบินที่ว่าห้ามพกอาวุธแต่เจ้าหน้าที่สามารถพกได้  มันเลยเป็นดาบ 2 คมระหว่างความปลอดภัยกับหน้าที่  ใครที่จะไปดูผมแนะนำว่าให้จินตนาการว่าเราอยู่บนเครื่องด้วย  แล้วคุณจะทำอะไรได้ในตอนนั้นถ้าเกิดขึ้นกับตัวคุณจริง

            7 / 10