Transformers : Age
of Extinction
มหากาฬหุ่นตีกันอลวลงงงวย

Transformers : Age of Extinction เหมือนเป็นการเริ่มเรื่องใหม่จาก 3
ภาคที่แล้วที่เริ่มต้นหลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่ทำให้เมืองพังพินาศ
แต่โลกก็อยู่รอดปลอดภัย ในขณะที่มนุษยชาติเริ่มฟื้นตัว ก็มีวายร้ายกลุ่มหนึ่งเผยตัวออกมาพยายามจะควบคุมกระแสประวัติศาสตร์ ขณะที่ศัตรูทรงพลังจากโบราณกาลก็ทำให้โลกต้องเผชิญหน้ากับหายนะอีกครั้ง
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย Micheal Bay ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานหนังหุ่นตีกันทั้ง 3
ภาค หรือถ้าผลงานเก่า ๆ ที่ติดตาคอแอคชั่นก็ไม่ว่าจะเป็น Bad Boy 1 และ 2 (กำลังจะมีภาค 3 ในปีหน้า), The Rock, Amagedon และอื่น ๆ
อีกมากมายที่กล่าวไปทุกคนก็คงต้องร้องอ๋อ
โดยเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเบย์เองได้ปล่อยของอย่างเต็มเพื่อที่ภาคต่อไปจะขึ้นนั่งแท่น Producer เองมั้ง
ภาคนี้เลยใส่ไม่ยั้งเรียกว่าไม่เกรงอกเกรงใจชาวบ้านชาวช่องกันเลยทีเดียว
ในเรื่องของนักแสดงภาคนี้ถือว่าเปลี่ยนยกชุดยกเว้นตัว “หุ่นยนต์”
ที่มีทั้งเพิ่มและลดแต่ยังคงไว้ตัวหลัก
นำแสดงโดย Mark Wahlberg ที่มีผลงานมาแล้วมากมายคงไม่ต้องสาธยาย
ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเค้าต้องแบกรับบทคนเดียวไปเต็ม ๆ แต่อาจจะเป็นการเอาชื่อมาทิ้งก็เป็นได้ เพราะมาร์คไม่สามารถที่จะแบกคนเดียวไหวกับหนังเรื่องนี้เลย หรือจะเป็นบทลูกสาวสุดเซ็กซี่ Nicola Peltz กับบท
Tessa Yeager ที่เล่นได้อย่าง “ห่วยแตก” ที่ส่วนตัวกล้าบอกว่าถ้าภาค 2 Megan Fox เล่นได้แย่แล้ว สาวน้อยคนนี้เล่นได้แย่ยิ่งกว่าเยอะ เรียกว่าดูเธอไปแล้วโคตรรำคาญ หรือจะเป็นนักแสดงคนอื่น ๆ ที่ไม่มีใครเล่นได้แล้ว “น่าจดจำ”
เลยแม้แต่คนเดียว
ในเรื่องของเอฟเฟ็คต่าง ๆ ในเรื่องก็ถือว่าเป็นอะไรที่อลังกาลงานสร้างตามคอนเซ็ปต์ของ “ฉลอง ภักดีวิจิตร” คือ “ระเบิดภูเขาเผากระท่อม”
เอะอะตูมเอะอะตูมทั้งเรื่องจนวูบหลับได้ทันที ซึ่งเป็นงานที่โชว์แต่ระเบิด รถคว่ำ
เทกระจาด บ้านบึ้ม ตึกพัง
คนวิ่งหนี
ที่มาแบบจัดเต็มจนน่าเบื่อแบบปวดหัว
แต่ยังดีที่ในส่วนตอนแปลงร่างของหุ่นยนต์นั้นก็ยังคงทำได้ตามมาตราฐานและมีรูปแบบใหม่ให้เราได้เห็นด้วย แต่มันก็มีส่วนดีแค่นั้นจริง ๆ
ในด้านของบทหนังหลังจากภาคแรกที่เบย์แยกทางกับ
2 คนเขียนบทระดับพระกาฬอย่าง Roberto Orci
และ Alex Kurtzman แล้วนั้นก็ต้องบอกว่าบทหนังภาคต่อ ๆ
มาและภาคนี้ด้วยเป็นอะไรที่ห่วยแตกแบบไม่จำเป็นต้องสัมผัส โดยภาคนี้คนที่เขียนบทชื่อ Ehren Kruger
ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือ
ไม่ต้องเขียน
แอคชั่นอย่างเดียวก็จบปิ๊งพอมั้ง เรียกว่าตั้งแต่ภาค 2 มานี้แย่แล้ว ภาคนี้ยิ่งแย่แบบเข้าไปดูระบบไหนราคาเท่าไหร่เสียดายเงินทุกสตางค์ที่จ่ายไปเลย
แอคชั่นอย่างเดียวก็จบปิ๊งพอมั้ง เรียกว่าตั้งแต่ภาค 2 มานี้แย่แล้ว ภาคนี้ยิ่งแย่แบบเข้าไปดูระบบไหนราคาเท่าไหร่เสียดายเงินทุกสตางค์ที่จ่ายไปเลย
ประเด็นและปมต่าง ๆ
ของหนังนั้นไม่มีอะไรที่เดินไปสุดทางเลยแม้แต่น้อย ทั้งประเด็นระหว่างพ่อกับลูก ไอ้หนุ่มแฟนของลูกสาวมาช่วยทันได้อย่างไร เรื่องของมนุษย์โจมตีเหล่าหุ่นฮีโร่ เหตุใดมนุษย์ถึงไปติดต่อหุ่นยนต์อีกเจ้าเพื่อมาเล่นงานออโต้บอท และมีอยู่ 2
จุดที่ดูแล้วขัดใจมากคือ
(ขอสปอย) ในส่วนของโจชัวร์ที่สร้างหุ่นยนต์และต้องการเมล็ดพันธุ์ไปสร้างหุ่นยนต์ต่อ
ทำไมถึงกลับใจเป็นคนดีง่ายเกินไปแบบไม่มีวี่แววอะไรเลย หรือการเปิดตัวของหุ่นไดโนเสาร์ที่เป็นการ “ยัดเยียด” บทให้หุ่นยนต์ล้านปีออกมาแบบน่าเกลียด คือขับยานไปฮองกงแล้วตก บับเบิลบีตกในเมือง
แต่ออฟติมัสดันตกในป่าที่มีเหล่าหุ่นไดโนเสาร์พอดี แล้วอะไรอยู่ดี ๆ
ก็ไปท้าตีท้าต่อยใครแพ้เป็นทาสแล้วก็มาขี่ไดโนเสาร์ไปสู้ แม่งโคตรเลอะเทอะชิบหาย และมีอื่น ๆ
อีกมากมายที่หนังทิ้งปมไว้แต่ก็ทิ้งไว้นั่นหล่ะเหมือนแบบคนทำผิดก็ปล่อยไปช่างแม่งไม่ต้องรู้หรอกเหตุผลนั้นอ่ะ
Transformers : Age of Extinction ถือเป็นหนังที่ไม่มีค่าแห่งการจดจำใด
ๆ เลยทั้งสิ้น กับความยาวถึง
165
นาทีที่นานแบบไร้สาระเอาเวลาไปทำอย่างอื่นนั้นมีประโยชน์กว่าเยอะ
แต่ถ้าใครที่ไม่ซีเรียสเรื่องของบทหรือความสนุกส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แอคชั่น แนะนำให้ดูโรง
4DX เพราะอาจจะได้อรรถรสแบบเครื่องเล่นหวาดเสียวมากกว่าที่จะไปดูใน IMAX หรือ 3D
ทั่วไป
แต่สุดท้ายผมเชื่อว่าภาคนี้คงมีเข้าชิงรางวัล Razzie awards สาขาภาพยนตร์ยอดแย่ครั้งหน้าอย่างแน่นอน
งดให้คะแนน
เสียดายเงินชิบหาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น