วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Begin Again

เพราะดนตรีคือชีวิต เพราะชีวิตคือเสียงเพลง

          จัดเป็นหนังรักโรแมนติกที่หลาย ๆ คนตั้งตารอ และโดยส่วนตัวก็เชื่อว่าที่หลาย ๆ คนรอนั้นไม่ใช่เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับที่สร้างชื่อหนังประเภทนี้อย่าง “ONCE”  แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้สิ่งที่คนเฝ้าติดตามโดยเฉพาะสาว ๆ  คงหนีไม่พ้นการที่จะได้เชยชมการแสดงของ Rock Star สุดเท่ห์อย่าง  Adam Levine  แห่ง  Maroon 5  อย่างแน่นอน

            Begin Again เล่าถึง เกรทต้า สาวนักแต่งเพลงที่มาพร้อมกับแฟนหนุ่ม เดฟ หนุ่มนักร้องดาวดวงใหม่ของวงการดนตรี ก่อนที่จะโดนตีจากพร้อมความโศกเศร้า แต่ชะตากรรมชีวิตต้องมาพบกับ แดน โปรดิวเซอร์มือทองผู้ตกอับในอุดมการณ์ที่สรรสร้างเพื่อวงการดนตรีที่ต้องการจะปลุกปั้นให้เป็นดาวดวงใหม่  เมื่อคนดวงซวยมาเจอกันอะไรจะเกิดขึ้น  พร้อมความหวังและเส้นทางที่ทั้ง  2  นั้นไขว่คว้าคืออะไร


            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  Jonh Carney  ผู้ที่เคยฝากผลงานหนังรักแนวมิวสิคอย่าง  ONCE  ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อให้กับเค้าพอสมควรในทั้งด้านของการถ่ายทำ  เนื้อเรื่องที่นำเสนอได้ซึ้งกินใจ  ประกอบกับการใช้เนื้อเพลงเป็นการเล่าเรื่องเสียส่วนใหญ่ในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาพยนตร์สไตล์  “Musical”  หรือ  “Broadway” จ๋า  โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงเส้นการเล่นเรื่องไว้อย่างเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนการถ่ายทำให้ดูได้ง่ายและผู้ชมจับต้องได้มากขึ้น

            ในด้านของนักแสดงต้องขอชม  2  แกนหลักของเรื่องอย่าง  Mark Ruffalo  ที่สามารถเล่นได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ของโปรดิวเซอร์ที่มีอุดมการณ์แต่หาแดกไม่ได้  จนใครจะไปเชื่อว่าเค้านี่หล่ะคือคนที่รับบท บรูซ แบนเนอร์ หรือ The Hurk  ไปแบบที่ว่าเค้าเหมาะที่จะเล่นบทแบบนี้มากกว่าเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เสียอีก  ส่วนของ Keira Knightley  ที่เล่นเป็นสาวนักแต่งเพลงผู้หลงทางกับความฝันก็เล่นได้ดีพอสมควรจนใครจะเชื่อว่าเธอคือโจรสลัดสาว  Elizabeth Swann  แต่ที่น่าติงมากที่สุดคงหนีไม่พ้นตัวชูโรงของเรื่องอย่าง  Adam Levine  นักร้องจากวง  Maroon 5  ที่ไม่สามารถสลัดคราบจากนักร้องมาเป็นนักแสดงได้เลย  ถ้าเห็นในเรื่องจะชัดเจนเมื่อเข้าซีนที่ต้องต่อบทหรือเล่นกับนักแสดงด้วยกันนั้นยังทำได้ไม่ดีเท่ากับซีนที่เล่นบนเวที (ก็เพราะว่าเค้าคือนักร้องไง)  จนอาจทำให้ตัว 1 ในอดีตกรรมการ The Voice USA  รุ่นแรก ๆ อย่าง  Ceelo Green  ที่เคยเป็นร่วมกับ  Adam  นั้นแย่งซีนเด่นแบบฮาไปได้เลยหล่ะ

            ในส่วนของบทหนังนั้นขอชื่นชมมาก ๆ  ที่ผู้กำกับยังคงแนวทางเดิมในการเล่าเรื่อง คือ การใช้เสียงเพลงเป็นตัวเดินเรื่องทั้งหมด  แต่มันอาจจะเป็นจุดเสียถ้าใครไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ก็อาจจะไม่สนุกตาม  และเรื่องนี้ผู้กำกับอาจจะเลือกถูกก็ได้ในการเปลี่ยนแปลงการถ่ายทำที่ทำให้ดูตลาดขึ้นเพื่อคนดูที่ไม่ใช่เฉพาะกลุ่ม  แต่โดยส่วนตัวหลังจากดูไปซักพักมันดันคล้าย ๆ  กับภาพยนตร์แนวเดียวกันอย่าง  “Music and Lyrics”  ยังไงไม่รู้หรือคิดมากไปเอง


            ประเด็นของหนังก็ถือว่าชัดเจนดีในเรื่องของเสียดสีวงการดนตรี  ทั้งเรื่องของการจิกกัดวงการนี้ได้แบบถึงพริกถึงขิงเช่น  ใครคือผู้สร้างศิลปิน  ตัวของเราเองหรือตัวของใคร  อุดมการณ์กับสังคมโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้มั้ย  โดยที่เห็นชัดเจนที่สุดและฮาที่สุดเลยคือเรื่องของเพลงประกอบ  ผู้เขียนไม่รู้เหมือนกันว่าผู้กำกับตั้งใจที่จะจิกวงการหรือเปล่า  คือคิดเล่น ๆ มีเพลง ๆ นึงถ้าเกิดนาย  A  เป็นคนแต่งเพลงให้นาย  B  แต่นาย  A  ไม่มีชื่อเสียงแต่นาย  B  ล้นหลามคุณคิดว่าเพลงควรจะให้เครดิตใครและใครควรดัง  หรือนาย  A  ต้องการแค่อุดมการณ์อย่างนั้นหรือ

            ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ให้เรื่องของแรงบันดาลใจมากนักแต่ก็ยังสามารถจับต้องได้ว่า  คนเราเมื่อล้มแล้วถ้าไม่ลุกก็คือผู้แพ้  แต่สิ่งที่ให้อย่างชัดเจนคงเป็นเรื่องของการสอนใจคนมากกว่าเหมือนกับชื่อเพลงประกอบ  Lost Star  ว่าคนเรานั้นคงไม่ต่างจากดาวดวงหนึ่งที่ไม่รู้จะโคจรไปที่ไหน  แต่เมื่อเรารู้เป้าหมายแล้วก็จะสามารถไปยังจุดโคจรที่เราต้องการได้ถึงแม้ว่าจะมีแรงดึงดูดอย่างอื่นมาทำให้เราไขว้เขวก็ตาม        

 7/10  ชนใดไม่มีดนตรีในกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Transformers  :  Age of Extinction

มหากาฬหุ่นตีกันอลวลงงงวย

            Transformers  ถือกำเนิดครั้งแรกเมื่อปี  2007  ซึ่งเมื่อครั้งเปิดตัวนั้นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการหนังแอคชั่นระดับฮอลลีวูดที่ตรึงใจทุกคน  เพราะมันคือสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นของการเล่าเรื่องหนังแอคชั่น  โดยใช้  “หุ่นยนต์”  เป็นตัวนำพาความสนุกที่แปลงร่างจากทั้งรถยนต์  เครื่องบิน  แล้วทำการต่อสู้กันแบบไม่มีเกรงใจใคร  พร้อมกับตีความสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เรียกกันว่า  “เอเลี่ยน”  ที่ไม่ได้มาในรูปแบบประหลาด ๆ  แต่มาในแบบเครื่องจักร  จนตอนนี้เดินทางมาถึงภาคที่ 4  มาให้ชาวโลกในชมกัน

Transformers : Age of Extinction  เหมือนเป็นการเริ่มเรื่องใหม่จาก 3 ภาคที่แล้วที่เริ่มต้นหลังจากสงครามครั้งใหญ่ที่ทำให้เมืองพังพินาศ  แต่โลกก็อยู่รอดปลอดภัย  ในขณะที่มนุษยชาติเริ่มฟื้นตัว  ก็มีวายร้ายกลุ่มหนึ่งเผยตัวออกมาพยายามจะควบคุมกระแสประวัติศาสตร์  ขณะที่ศัตรูทรงพลังจากโบราณกาลก็ทำให้โลกต้องเผชิญหน้ากับหายนะอีกครั้ง

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  Micheal Bay  ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานหนังหุ่นตีกันทั้ง  3  ภาค  หรือถ้าผลงานเก่า ๆ  ที่ติดตาคอแอคชั่นก็ไม่ว่าจะเป็น  Bad Boy 1 และ 2 (กำลังจะมีภาค 3 ในปีหน้า), The Rock, Amagedon  และอื่น ๆ อีกมากมายที่กล่าวไปทุกคนก็คงต้องร้องอ๋อ  โดยเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเบย์เองได้ปล่อยของอย่างเต็มเพื่อที่ภาคต่อไปจะขึ้นนั่งแท่น  Producer  เองมั้ง  ภาคนี้เลยใส่ไม่ยั้งเรียกว่าไม่เกรงอกเกรงใจชาวบ้านชาวช่องกันเลยทีเดียว


ในเรื่องของนักแสดงภาคนี้ถือว่าเปลี่ยนยกชุดยกเว้นตัว  “หุ่นยนต์”  ที่มีทั้งเพิ่มและลดแต่ยังคงไว้ตัวหลัก  นำแสดงโดย  Mark Wahlberg  ที่มีผลงานมาแล้วมากมายคงไม่ต้องสาธยาย  ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเค้าต้องแบกรับบทคนเดียวไปเต็ม ๆ  แต่อาจจะเป็นการเอาชื่อมาทิ้งก็เป็นได้  เพราะมาร์คไม่สามารถที่จะแบกคนเดียวไหวกับหนังเรื่องนี้เลย  หรือจะเป็นบทลูกสาวสุดเซ็กซี่  Nicola Peltz  กับบท  Tessa Yeager  ที่เล่นได้อย่าง  “ห่วยแตก”  ที่ส่วนตัวกล้าบอกว่าถ้าภาค 2  Megan Fox  เล่นได้แย่แล้ว  สาวน้อยคนนี้เล่นได้แย่ยิ่งกว่าเยอะ  เรียกว่าดูเธอไปแล้วโคตรรำคาญ  หรือจะเป็นนักแสดงคนอื่น ๆ  ที่ไม่มีใครเล่นได้แล้ว  “น่าจดจำ”  เลยแม้แต่คนเดียว

ในเรื่องของเอฟเฟ็คต่าง ๆ ในเรื่องก็ถือว่าเป็นอะไรที่อลังกาลงานสร้างตามคอนเซ็ปต์ของ  “ฉลอง ภักดีวิจิตร”  คือ  “ระเบิดภูเขาเผากระท่อม”  เอะอะตูมเอะอะตูมทั้งเรื่องจนวูบหลับได้ทันที  ซึ่งเป็นงานที่โชว์แต่ระเบิด  รถคว่ำ  เทกระจาด  บ้านบึ้ม  ตึกพัง  คนวิ่งหนี  ที่มาแบบจัดเต็มจนน่าเบื่อแบบปวดหัว  แต่ยังดีที่ในส่วนตอนแปลงร่างของหุ่นยนต์นั้นก็ยังคงทำได้ตามมาตราฐานและมีรูปแบบใหม่ให้เราได้เห็นด้วย  แต่มันก็มีส่วนดีแค่นั้นจริง ๆ 

ในด้านของบทหนังหลังจากภาคแรกที่เบย์แยกทางกับ 2 คนเขียนบทระดับพระกาฬอย่าง  Roberto Orci  และ  Alex Kurtzman  แล้วนั้นก็ต้องบอกว่าบทหนังภาคต่อ ๆ มาและภาคนี้ด้วยเป็นอะไรที่ห่วยแตกแบบไม่จำเป็นต้องสัมผัส  โดยภาคนี้คนที่เขียนบทชื่อ  Ehren Kruger  ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือ  ไม่ต้องเขียน
แอคชั่นอย่างเดียวก็จบปิ๊งพอมั้ง  เรียกว่าตั้งแต่ภาค  2  มานี้แย่แล้ว  ภาคนี้ยิ่งแย่แบบเข้าไปดูระบบไหนราคาเท่าไหร่เสียดายเงินทุกสตางค์ที่จ่ายไปเลย


ประเด็นและปมต่าง ๆ  ของหนังนั้นไม่มีอะไรที่เดินไปสุดทางเลยแม้แต่น้อย  ทั้งประเด็นระหว่างพ่อกับลูก  ไอ้หนุ่มแฟนของลูกสาวมาช่วยทันได้อย่างไร  เรื่องของมนุษย์โจมตีเหล่าหุ่นฮีโร่  เหตุใดมนุษย์ถึงไปติดต่อหุ่นยนต์อีกเจ้าเพื่อมาเล่นงานออโต้บอท  และมีอยู่  2  จุดที่ดูแล้วขัดใจมากคือ  (ขอสปอย)  ในส่วนของโจชัวร์ที่สร้างหุ่นยนต์และต้องการเมล็ดพันธุ์ไปสร้างหุ่นยนต์ต่อ  ทำไมถึงกลับใจเป็นคนดีง่ายเกินไปแบบไม่มีวี่แววอะไรเลย  หรือการเปิดตัวของหุ่นไดโนเสาร์ที่เป็นการ  “ยัดเยียด”  บทให้หุ่นยนต์ล้านปีออกมาแบบน่าเกลียด  คือขับยานไปฮองกงแล้วตก  บับเบิลบีตกในเมือง  แต่ออฟติมัสดันตกในป่าที่มีเหล่าหุ่นไดโนเสาร์พอดี  แล้วอะไรอยู่ดี ๆ  ก็ไปท้าตีท้าต่อยใครแพ้เป็นทาสแล้วก็มาขี่ไดโนเสาร์ไปสู้  แม่งโคตรเลอะเทอะชิบหาย  และมีอื่น ๆ อีกมากมายที่หนังทิ้งปมไว้แต่ก็ทิ้งไว้นั่นหล่ะเหมือนแบบคนทำผิดก็ปล่อยไปช่างแม่งไม่ต้องรู้หรอกเหตุผลนั้นอ่ะ


Transformers : Age of Extinction  ถือเป็นหนังที่ไม่มีค่าแห่งการจดจำใด ๆ  เลยทั้งสิ้น  กับความยาวถึง  165  นาทีที่นานแบบไร้สาระเอาเวลาไปทำอย่างอื่นนั้นมีประโยชน์กว่าเยอะ  แต่ถ้าใครที่ไม่ซีเรียสเรื่องของบทหรือความสนุกส่วนอื่น ๆ  ที่ไม่ใช่แอคชั่น  แนะนำให้ดูโรง  4DX  เพราะอาจจะได้อรรถรสแบบเครื่องเล่นหวาดเสียวมากกว่าที่จะไปดูใน  IMAX  หรือ 3D  ทั่วไป  แต่สุดท้ายผมเชื่อว่าภาคนี้คงมีเข้าชิงรางวัล  Razzie awards  สาขาภาพยนตร์ยอดแย่ครั้งหน้าอย่างแน่นอน



งดให้คะแนน  เสียดายเงินชิบหาย

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

The Wind Rises

ลมพัด ความฝัน แรงต้าน ความปราถนา

            หากจะพูดถึงภาพยนตร์เอนิเมชั่นบนโลกใบนี้  หลายคนต้องนึกถึง “ก้านกล้วย”...ถุยส์...ไม่ใช่ละ  หลายคนต้องนึกถึงดิสนี่ย์ พิกซ่า หรือจะเป็นดรีมเวิร์ค  แต่ถ้าพูดถึงเอนิเมชั่นฝั่งซีกตะวันออกโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น  แทบไม่มีใครไม่รู้จักกับสตูดิโอที่มีนามว่า “จิบลิ”  ที่ก่อตั้งโดย ฮายาโอะ มิยาซากิ  ผู้ที่สั่นคลอนวงการเอนิเมชั่นที่ทุกคนต้องตราตรึง  โดยถือว่าภาพยนตร์เอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายของปู่แกแล้ว  และเป็นการทิ้งทวนที่ควรค่าแห่งการจดจำไปอีกนาน

            The Wind Rises  หรือในชื่อภาษาไทย ปีกแห่งฝัน วันแห่งรัก  เล่าถึงเรื่องราวของ จิโร โฮริโกชิ ผู้ออกแบบเครื่องบินรบ Zero Fighter ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเรื่องราวจะบอกเล่าชีวิตของ จิโร ตั้งแต่เด็กที่เริ่มสนใจในเครื่องบิน จนวัยหนุ่มที่เขาต้องการออกแบบเครื่องบินที่สวยงามให้ล่องไปบนท้องฟ้า ในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำเหมือนส­มัยนี้  รวมถึงเรื่องราวความรักแบบหนุ่มสาวของเขากับ  นาโอโกะ ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลก

            ภาพยนตร์เอนิเมชั่นเรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  ฮายาโอะ มิยาซากิ  ผู้ที่มีผลงานมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็น My Neighbor Totoro, Howl’s Moving Castle, Ponyo หรือจะเป็นภาพยนตร์ที่สั่นคลอนวงการเอนิเมชั่นของโลกด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ของสาขาเอนิเมชั่นยอดเยี่ยมในปี 2002 กับเรื่อง  Spirited Away  ที่เคยชนะใจคนทั้งโลกไปครองมาแล้ว  โดยชนะทั้ง  Ice Age, Lilo & Stitch, Treasure Planet  ที่เช้าชิงในปีเดียวกัน  แต่น่าเสียดายที่  The Wind Rises  กลับแพ้เอนิเมชั่นจากฝั่งดิสนีย์อย่างเรื่อง  Frozen  ในปีล่าสุดไปเสียนี่  ไม่งั้นจะเป็นการสั่งลาของปู่แกที่ครบสมบูรณ์เลยทีเดียว


            ในเรื่องของภาพนั้นไม่ต้องพูดถึงความยอดเยี่ยมเลยว่าจะแค่ไหน  เพราะถ้าใครเป็นแฟนพันธ์แท้ของ  “จิบลิ”  หรือใครที่เป็นแฟนบอยของการ์ตูนญี่ปุ่นแล้วนั้นเมื่อแรกแค่สัมผัส  ก็ได้รู้สึกถึงความคลาสสิคที่วงการการ์ตูนเริ่มที่จะหายไปบนโลกของฟิล์มคือการวาดมือนั้นเอง  โดยค่ายแห่งนี้ยังคงความเป็นอนุรักษ์นิยมไม่เปรียบแปลงเหมือนฝั่งของต่างตะวันตก  ที่ใช้เทคนิคการวาดและถ่ายทำนั้นล้ำไปไกล  แม้กระทั้งเรื่องของซาวด์ก็ยังคงกลิ่นไอของความ “เก่า” เอาไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย  ไม่ว่าจะเป็นซาวด์สังเคราะห์ต่าง ๆ ที่เมื่อใครได้เข้าไปชมและได้ยินซาวด์สังเคราะห์นั้น ๆ ต้องอดยิ้มและเพลิดเพลินไปเสียมิได้เลย

            ในเรื่องของบทนั้นอาจจะยังไม่มีคำว่าฉีกกรอบเสียเท่าไหร่  เพราะเหมือนกับว่าคอนเซ็ปต์ของปู่มิยาซากินั้น  ยังคงต้องการที่จะเดินเส้นเรื่องที่เกี่ยวกับ “ความฝัน” ไปทุกเรื่อง  โดยเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากผู้สร้างเครื่องบินรบ Zero Fighter  นามว่า  จิโร่ โฮริโกชิ  นั้นเอง  แต่ถึงแม้จะอ้างอิงจากเรื่องจริงแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของหนังหายไปแม้แต่น้อยเลย

            โดยหนังได้สะท้อนปมหลาย ๆ อย่างให้เราได้เห็นที่ไม่ใช่แค่เรื่องความฝันของเด็กสายตาสั้นที่อยากจะขับเครื่องบินแต่ทำได้เพียงเป็นผู้สร้างเท่านั้น  แต่ยังถ่ายทอดออกมาให้ได้เห็นถึงความเลวร้ายของสงครามโลกในสิ่งที่ตนตั้งใจ  เอาชนะ  เรียนรู้  ทุ่มเทสร้างแต่ไม่มีจุดประสงค์ร้ายแบบนั้น  หรือจะเป็นประเด็นของความเป็นสังคมนิยมของชาวญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลก  ภาพของการช่วยเหลือเกื้อกูลเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัติ  ความน่ารักของวัฒนธรรมโบราณครั้งที่ยังล้าสมัย  และแนวคิดในการเอาชนะสิ่งที่ตนด้อยกว่าจนเป็นประเทศมหาอำนาจในเรื่องอุตสาหกรรมต่าง ๆ บนโลกใบนี้ที่ทั่วโลกยอมรับ  รวมถึงภาพของความรักหนุ่มสาวที่สามารถตราตรึงใจผู้ชมได้ทุกคนจนอดที่จะกลั้นน้ำตาไม่ไหวในความรักอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นได้

            The Wind Rises  อาจเป็นเอนิเมชั่นที่ดูผิวเผินแค่การ์ตูนต่อต้านและถ่ายทอดความเลวร้ายของสงคราม แต่ว่านี่คือเอนิเมชั่นยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งของโลกที่เราจะได้อารมณ์ในการดูหนัง  ทั้งเรื่องของแรงบันดาลใจ ความพยายาม ความไม่ย่อท้อ ความรัก ความไม่สิ้นหวังแบบครบรสในเวลา 126 นาทีได้เต็มอิ่ม 
จนคุณอาจต้องร้องเสียใจกับความฝันในวัยเด็ก  ที่เราไม่พยายามทำแล้วหันมาเสียดายในภายหลังก็เป็นได้




10 / 10  เมื่อลมพัดแรง เราจึงต้องต้านแรงลม