Tha Wolverine
หลงทางไปหารุ่นแรก

โดยหนึ่งในเฟรนไชด์ที่ขายดีของค่ายนี้คงหนีไม่พ้น X-MEN ที่ผ่านไป 3
ภาค
ก็มีการนำตัวละครเด่นมาสร้างเป็นภาคแยกของตัวเอง และตัวที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือ “Wolverine” มีภาคแยกมาแล้วในภาค “Origins” โดยภาคนี้ถือว่าไม่ใช่ภาคต่อของอันแรก แต่หนังได้ทำให้มันกลายเป็นภาคต่อของ “X-MEN The Last Stand” ซึ่งจะเล่าเรื่องหลังจากเหตุการสงครามมนุษย์กลายพันธุ์ และปมที่ยังฝังใจของ “โลแกน”
ในเรื่องอดีตที่จะต้องแก้ไขให้หายไปจากชีวิต โดยครั้งนี้เค้าถูกเชิญไปยังญี่ปุ่นเพื่อมาพบบุคคลผู้ที่โลแกนเคยช่วยไว้ในสมัยอดีต ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะกลับตาลปัดกลายเป็นความวุ่นวายครั้งใหม่ของเค้าที่มั่วไปหมด
ในภาคนี้กำกับโดย James Mangold ที่เคยฝากผลงานผ่านตามาแล้วอย่าง “Indentity” และเคยเขียนบทเรื่องดังอย่าง “Walk The Line” ส่วนของนักแสดงนำก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะถ้าเปลี่ยนก็คงแปลกนั่นก็คือ “Huge Jackman” ซึ่งชื่อนี้การันตีความสามารถอยู่แล้ว พร้อมนักแสดงญี่ปุ่นมากหน้าหลายตาแต่ไม่รู้จักใครเลยหว่ะ
ไม่ว่าจะเป็นผู้มารับบทนางเอกของเรื่อง “Tao
Okamoto” ในบทของ “Mariko” หลานสาวตระกูลนักธุรกิจชื่อดังในญี่ปุ่น “Rila Fukushima” ในบท “Yukio” น้องสาวที่ถูกเก็บมาเลี้ยงพร้อมพลังหยั่งรู้อนาคต “Yashida” รับบทโดย “Ken Yamamura” ในตอนหนุ่มและ
Hai Yamanouchi ในตอนแก่” เจ้าของบริษัทเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่นผู้ต้องการตอบแทนบุญคุณโลแกน และที่ขาดไม่ได้ “Famke Janssen” ในบท “Jean Grey” ที่จะโผล่มาเป็นพัก ๆ แต่ก็ดูเหี่ยวไปตามการเวลา
ในเรื่องของนักแสดงของเรื่องนี้ไม่ถือว่าขาย “Huge Jackman” มากจนเกินไปจริง ๆ
ถึงแม้ว่าออร่านักแสดงจะปิดบังเหล่านักแสดงญี่ปุ่นเกือบหมด แต่ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องแนววิถีของยากูซ่า นินจาและซามูไรแล้ว ถือว่านักแสดงทุกคนเล่นกันได้อย่างดีเยี่ยมในเรื่องของอารมณ์ความเป็นชาตินิยม
วัฒนธรรมที่ต้องเคร่งครัดตั้งแต่บรรพบุรุษ
ทุกคนล้วนแต่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมไม่น้อยหน้าไปกว่าพระเอกระดับฮอลลีวูดเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าเทียบโดยรวมของหนังทั้งเรื่อง ส่วนดีที่เห็นก็คงจะมีอยู่แค่นั้นจริง ๆ
ในเรื่องของบทซึ่งเมื่อเห็นชื่อหนังของผู้กำกับคนนี้ที่เคยทำมาแล้ว พบว่าจะเป็นแนวดราม่าซะมากกว่า ซึ่งการมาจับหนังแอคชั่นในครั้งนี้ผู้กำกับเลยเหมือนต้องการทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่แนวใหม่ที่นิยมในปัจจุบัน คือลดทอนความแอคชั่น การใส่ความเป็นดราม่า เพิ่มเรื่องของปมในจิตใต้สำนึกของตัวเอกให้ดูว่ามีอะไร ใส่ดนตรีประกอบให้ดูระทึกโดยไม่มีการตบตี ทำความเป็นหนังฮีโร่ที่เคยผ่านมาจากแนวโปลิสจับขโมยให้กลายเป็นดาร์กไซด์มากยิ่งขึ้น ถ้าจะพูดอ้างอิงในแนวนี้กับเรื่องอื่น (นี่จะเป็นครั้งแรกที่เปรียบเทียบกับบุคคลที่
3) หนังฮีโร่แนวดราม่าที่เห็นภาพชัดเจนคงหนีไม่พ้น “Batman” ไตรภาคล่าสุด
แต่ถ้าในส่วนของมาเวลเองนั้น
ถ้านำเสนอเรื่องของความดราม่าแบบสุด ๆ
ก็คงจะเป็น “Iron Man 3” แต่สำหรับหนังเรื่องนี้มันกับกลายเป็นว่าหลงทิศหลงทางไปหมดเลย ตัวบทก็แลดูมั่วจับต้องทิศทางไม่ถูก หาเหตุและผลของการมาของโลแกนไม่ได้ จะดูเป็นการบังคับ บังเอิญ
หรือจงใจ
อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะหาไม่ได้เลยในหนังเรื่องนี้ แถมการใส่ปมอันขมขื่นของโลแกนด้วยแล้ว ฟังดูอาจจะดูดีมีชาติตระกูล
แต่ทำไปทำมามันกลับกลายเป็นความหน้าเบื่อไปเลย ยิ่งมาลดความแอคชั่นไปด้วยนั้นยิ่งทำให้หนังไม่มีความน่าสนใจแม้แต่น้อย
(ทีเซอร์หรือสปอยที่ออกมาโปรโมทก่อนเข้าฉาย แทบจะเป็นแอคชั้นทั้งหมดของหนังเลยก็ว่าได้) ตัวผมคิดว่าเมื่อภาคก่อน (Origins)
นั้นเป็นภาคที่แป๊กและไม่สนุกที่สุดในเฟรนไชด์ X-Men แต่พอมาภาคนี้กลายเป็นว่าไม่มีความสนุกที่มากกว่าของเก่าเลยแม้แต่น้อย
เหมือนหนังทำออกมาเพื่อขายชื่อของ “Wolverine” อย่างเดียวเท่านั้น แต่ส่วนอื่น ๆ
นั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

4/10
รอเครดิตซักแปป
มีให้ดูอีกนิดนึง
(แต่นานกว่าเรื่องอื่น ๆ
ที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น