วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Kick Ass 2
สงครามมหาเกรียน
          หลังจากภาคแรกค่อนข้างประสบความสำเร็จ  (หรือเปล่า)  กับหนังสุดยอดการล้อซุปเปอร์ฮีโร่ในแบบฉบับความเกรียน และความรุนแรงแบบสุดติ่ง  (18+)  ก็ได้เดินทางมาถึงในภาคที่  2  ทิ้งช่วงจากภาคแรกไปถึง  3  ปี  (2010)  พร้อมกับนักแสดงหน้าเดิมครบทีมและดาราดังที่มาชูโรงแทน  “นิโคลัส เคส”  อย่างดาราตลกซุปเปอร์สตาร์  “จิม แครี่


            โดยภาคนี้หนังเล่าถึงหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อภาคที่แล้ว  ทำให้ผู้คนต่างพากันสวมหน้ากากเพื่อปกป้องบ้านเมืองอันเป็นที่รัก  ซึ่งนำทีมโดย  ผู้พันสตาร์สแอนด์สไตรป์  (จิม แคร์รี่ย์)  ผู้ก่อตั้งทีมซุปเปอร์ฮีโร่นาม  “จัสติสฟอร์เอฟเวอร์”  ได้รวบรวมเหล่าผู้ที่ต้องการปิดทองหลังพระหรือเป็นศาลเตี้ย  ในขณะที่เดฟ  (Kick-Ass , แอรอน เทย์เลอร์ จอห์นสัน)  ที่กำลังเบื่อในชีวิตอันซ้ำซากในมหาลัย  จึงเข้าขอฝึกวิชาและก่อตั้งทีมฮีโร่กับมินดี้  (Hit Girl , โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์)  ซึ่งเธอเองก็เบื่อกับชีวิตที่ไม่ใช่ในอายุ  15  ก่อนที่จะถูกพ่อเลี้ยงจับได้ว่ายังไม่ละจากวงการ  จึงต้องจำใจต้องหันหลังให้กับหน้ากาก  พร้อมกับการกำเนิดใหม่ของ  Red Mist  ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น  The MatherFucker  (คริสโตเฟอร์มินท์ แพลสซี)  ที่หวังจะแก้แค้น  Kick-Ass  ที่ฆ่าพ่อของเค้า  ทำให้เหตุการณ์ความเกรียนและวุ่นวายถือกำเนิดขึ้น

          Kick-Ass  2  ครั้งนี้กำกับการแสดงโดย  Jeff Wadlow  (ผลงานที่ผ่านตาคือ Never Back Down)  โดยผู้กำกับภาคก่อนอย่าง  Matthew Vaughn  ขึ้นแท่นเป็น  Producer  พร้อมกับนักแสดงวัยรุ่นทั้งทีมจากภาคที่แล้ว  ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละคนนั้นไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงนักถ้าพูดถึงในบ้านเรา  เพราะแต่ละคนผ่านงานมายังไม่มากเท่าไหร่  ไม่ว่าจะเป็น แอรอน เทย์เลอร์ จอห์นสัน, คริสโตเฟอร์มินท์ แพลสซี, โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ (สาวน้อยคนนี้แต่งตัวเป็นสาวแล้วน่ารักมาก) แต่ภาคนี้ก็ยังได้ดาราชั้นนำเข้ามาชูโรงอย่าง จิม แครร์รีย์  ที่มาในบทบาทใหม่ที่ไม่ใช่ตลก  ก็มอบการแสดงที่ดีให้กับเราได้พอสมควร

            โดยตัวหนังในภาคนี้ถ้าเปรียบเทียบเนื้อหาภาคแรกนั้น  ค่อนข้างหน้าผิดหวังอยู่นิด ๆ  ในเรื่องของแอคชั่นที่โหดถึงใจ  เลือดเป็นเลือดอะไรพวกนี้จะเห็นน้อยกว่าภาคแรกอยู่พอสมควร  แต่หนังกลับมาได้ดีในเรื่องของการตัดต่อที่ดูกระชับไม่ปวดหัว  พร้อมกับการใช้ซาวด์ดนตรีประกอบระหว่างฉากที่ไม่ได้เข้ากับความโหดร้าย  แต่กลับได้รสชาติของความฮาเต็ม ๆ  ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นแอคชั่นที่ไม่ได้ดูแล้วรู้สึกระทึกตื่นเต้น  แต่กลับหัวเราะในระหว่างที่เราดูการฆ่ากันได้อย่างถึงพริกถึงขิง  ในส่วนของบทหนังนั้นค่อนข้างหลวมเอาการเลยทีเดียว  แต่ก็ยังแก้ไขได้ในส่วนของการเล่าเรื่องที่กระชับไม่ซับซ้อน  ไม่ต้องคิดมาก  ดูไปเรื่อย ๆ  เพื่อความบันเทิงเริงรมณ์  จนคุณอาจจะลืมความน่าเบื่อของบทหนังไปเลยก็เป็นได้  หนังเรื่องนี้ถือว่ามีจุดหนึ่งซึ่งแสบใช้ได้  คือการล้อเลียนซุปเปอร์ฮีโร่ทั้ง  2  ฝั่ง  (Mavel และ DC)  ได้แบบเนียน ๆ  และแสบคันเอามาก ๆ  พอดู  แถมหนังยังสามารถนำเอาเรื่องของโซเชียลเน็ตเวิคมาใช้ในเรื่องได้อย่างสร้างสรรดี  จนทำให้เราคิดถึงตัวเราได้โดยตลอด


            ถ้าเราดูหน้าหนังอาจจะคิดว่าเป็นแค่แอคชั่นมันส์ ๆ  ทั่ว ๆ ไป แต่หนังกลับแฝงเรื่องของความถูกต้องและสังคมอันไม่ยุติธรรมที่อยู่บนโลกใบนี้ได้ตรง ๆ  จนเป็นที่มาของเหล่าหน้ากากเพื่อผดุงคุณธรรมในเมื่อกฎหมายเอาผิดพวกมันไม่ได้  แต่เหล่าหน้ากากนั้นก็ลืมไปว่าบ้านเมืองนั้นกฎหมายก็ยังเป็นที่ตั้งอยู่เสมอ  แต่การจะทำความดีอะไรสักอย่างนั้นคนเราก็ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเสมอไป  ขอแค่ทำด้วยใจยังไงสังคมก็ย่อมยอมรับ

            Kick-Ass  2  ถือว่าเป็นหนังล้อเลียนซุปเปอร์ฮีโร่ในแบบฉบับความเกรียนบนโลกแห่งความจริง ที่สะท้อนปัญหาสังคมได้อย่างชัดเจน  ความยาว  103  นาที  ของหนังเรื่องนี้ถือว่าไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป  แต่เหมาะสำหรับคนอายุ  18+  นะครับเพราะคิดว่าก็ยังรุนแรงอยู่พอประมาณถึงแม้มันจะฮามากกว่าก็เถอะ  ถึงแม้บทค่อนข้างจะห่วยแต่มันก็มอบอะไรดี ๆ  เกี่ยวกับเรื่องสังคมและการทำความดีที่ไม่มุ่งเน้นได้อย่างชัดเจน  อยู่ที่ว่าใครจะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่เห็นและที่ผู้กำกับมอบมาให้กับเราก็เท่านั้นครับ



            7/10  รอดูเครดิตให้จบ  จะมีอะไรแถมท้าย  จะบอกอะไรต่อนั้นดูเอาเอง

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Tha Wolverine

หลงทางไปหารุ่นแรก
          ภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่  ถือว่าเป็นภาพยนตร์ตลาดหนึ่งแนวที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในต่างประเทศและบ้านเรา  นั้นต้องบอกว่ามีมานานกว่า  50 ปี  หรือมากกว่านั้นเพราะเกิดไม่ทัน  แต่ถ้านับเฉพาะในจอเงินที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในบ้านเราคงหนีไม่พ้นบรรดาซุปเปอร์ฮีโร่ที่มาจากค่าย  “Marvel Comic  โดยเรื่องแรกที่ปรากฎบนจอเงินก็คือเรื่อง  “Captain America”  ในปี 1944  ส่วนในบ้านเราผมคาดว่าเรื่องแรกน่าจะเป็น  “The Fantastic Four”  ในปี  1994  อันนี้ไม่แน่ใจว่าเข้าฉายบ้านเราหรือไม่  เพราะยุคนั้นคือยุครุ่งเรืองของหนังไทยกับค่าย  “ไฟว์สตาร์”  ไม่ก็  “อาวอง”  ถ้าจำไม่ผิดนะ  แต่ถ้าเรื่องที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในประเทศไทยคงจะเป็นนักฆ่าผีดิบ  “Blade  ในปี  1998  แล้วก็เป็นที่นิยมต่อมาในหลาย ๆ  เรื่อง

            โดยหนึ่งในเฟรนไชด์ที่ขายดีของค่ายนี้คงหนีไม่พ้น  X-MEN  ที่ผ่านไป  3  ภาค  ก็มีการนำตัวละครเด่นมาสร้างเป็นภาคแยกของตัวเอง  และตัวที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือ  “Wolverine  มีภาคแยกมาแล้วในภาค  “Origins  โดยภาคนี้ถือว่าไม่ใช่ภาคต่อของอันแรก  แต่หนังได้ทำให้มันกลายเป็นภาคต่อของ  “X-MEN The Last Stand  ซึ่งจะเล่าเรื่องหลังจากเหตุการสงครามมนุษย์กลายพันธุ์  และปมที่ยังฝังใจของ  “โลแกน”  ในเรื่องอดีตที่จะต้องแก้ไขให้หายไปจากชีวิต  โดยครั้งนี้เค้าถูกเชิญไปยังญี่ปุ่นเพื่อมาพบบุคคลผู้ที่โลแกนเคยช่วยไว้ในสมัยอดีต  ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะกลับตาลปัดกลายเป็นความวุ่นวายครั้งใหม่ของเค้าที่มั่วไปหมด


            ในภาคนี้กำกับโดย  James Mangold  ที่เคยฝากผลงานผ่านตามาแล้วอย่าง  “Indentity  และเคยเขียนบทเรื่องดังอย่าง  “Walk The Line  ส่วนของนักแสดงนำก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะถ้าเปลี่ยนก็คงแปลกนั่นก็คือ  “Huge Jackman  ซึ่งชื่อนี้การันตีความสามารถอยู่แล้ว  พร้อมนักแสดงญี่ปุ่นมากหน้าหลายตาแต่ไม่รู้จักใครเลยหว่ะ ไม่ว่าจะเป็นผู้มารับบทนางเอกของเรื่อง  “Tao Okamoto  ในบทของ  “Mariko”  หลานสาวตระกูลนักธุรกิจชื่อดังในญี่ปุ่น  “Rila Fukushima  ในบท  “Yukio  น้องสาวที่ถูกเก็บมาเลี้ยงพร้อมพลังหยั่งรู้อนาคต  “Yashida  รับบทโดย  “Ken Yamamura” ในตอนหนุ่มและ Hai Yamanouchi ในตอนแก่”  เจ้าของบริษัทเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่นผู้ต้องการตอบแทนบุญคุณโลแกน  และที่ขาดไม่ได้  “Famke Janssen  ในบท  “Jean Grey  ที่จะโผล่มาเป็นพัก ๆ  แต่ก็ดูเหี่ยวไปตามการเวลา

ในเรื่องของนักแสดงของเรื่องนี้ไม่ถือว่าขาย  “Huge Jackman  มากจนเกินไปจริง ๆ  ถึงแม้ว่าออร่านักแสดงจะปิดบังเหล่านักแสดงญี่ปุ่นเกือบหมด  แต่ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องแนววิถีของยากูซ่า  นินจาและซามูไรแล้ว  ถือว่านักแสดงทุกคนเล่นกันได้อย่างดีเยี่ยมในเรื่องของอารมณ์ความเป็นชาตินิยม วัฒนธรรมที่ต้องเคร่งครัดตั้งแต่บรรพบุรุษ  ทุกคนล้วนแต่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมไม่น้อยหน้าไปกว่าพระเอกระดับฮอลลีวูดเลยแม้แต่น้อย  แต่ถ้าเทียบโดยรวมของหนังทั้งเรื่อง  ส่วนดีที่เห็นก็คงจะมีอยู่แค่นั้นจริง ๆ 

ในเรื่องของบทซึ่งเมื่อเห็นชื่อหนังของผู้กำกับคนนี้ที่เคยทำมาแล้ว  พบว่าจะเป็นแนวดราม่าซะมากกว่า  ซึ่งการมาจับหนังแอคชั่นในครั้งนี้ผู้กำกับเลยเหมือนต้องการทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่แนวใหม่ที่นิยมในปัจจุบัน  คือลดทอนความแอคชั่น  การใส่ความเป็นดราม่า  เพิ่มเรื่องของปมในจิตใต้สำนึกของตัวเอกให้ดูว่ามีอะไร  ใส่ดนตรีประกอบให้ดูระทึกโดยไม่มีการตบตี  ทำความเป็นหนังฮีโร่ที่เคยผ่านมาจากแนวโปลิสจับขโมยให้กลายเป็นดาร์กไซด์มากยิ่งขึ้น  ถ้าจะพูดอ้างอิงในแนวนี้กับเรื่องอื่น  (นี่จะเป็นครั้งแรกที่เปรียบเทียบกับบุคคลที่ 3)  หนังฮีโร่แนวดราม่าที่เห็นภาพชัดเจนคงหนีไม่พ้น  “Batman  ไตรภาคล่าสุด  แต่ถ้าในส่วนของมาเวลเองนั้น  ถ้านำเสนอเรื่องของความดราม่าแบบสุด ๆ  ก็คงจะเป็น  “Iron Man 3  แต่สำหรับหนังเรื่องนี้มันกับกลายเป็นว่าหลงทิศหลงทางไปหมดเลย  ตัวบทก็แลดูมั่วจับต้องทิศทางไม่ถูก  หาเหตุและผลของการมาของโลแกนไม่ได้  จะดูเป็นการบังคับ  บังเอิญ  หรือจงใจ  อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะหาไม่ได้เลยในหนังเรื่องนี้  แถมการใส่ปมอันขมขื่นของโลแกนด้วยแล้ว  ฟังดูอาจจะดูดีมีชาติตระกูล  แต่ทำไปทำมามันกลับกลายเป็นความหน้าเบื่อไปเลย  ยิ่งมาลดความแอคชั่นไปด้วยนั้นยิ่งทำให้หนังไม่มีความน่าสนใจแม้แต่น้อย  (ทีเซอร์หรือสปอยที่ออกมาโปรโมทก่อนเข้าฉาย  แทบจะเป็นแอคชั้นทั้งหมดของหนังเลยก็ว่าได้)  ตัวผมคิดว่าเมื่อภาคก่อน (Origins)  นั้นเป็นภาคที่แป๊กและไม่สนุกที่สุดในเฟรนไชด์  X-Men  แต่พอมาภาคนี้กลายเป็นว่าไม่มีความสนุกที่มากกว่าของเก่าเลยแม้แต่น้อย  เหมือนหนังทำออกมาเพื่อขายชื่อของ  “Wolverine  อย่างเดียวเท่านั้น  แต่ส่วนอื่น ๆ  นั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

The Wolverrine ถือเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่แค่เพียงโหนกระแสให้สาวกได้ฟินและเห็นตัวละครที่ชอบเท่านั้น  โดยไม่สนใจและใส่ใจในรายละเอียดของบทหนังซักเท่าไหร่เลย  แถมเหมือนจะทำคั้นกลางเพื่อรอ  X-MEN Day Of Future Past  แบบสั่ว ๆ  ที่ไม่มีเงื่อนงำแต่ดันโผล่มาแบบดื้อ ๆ   ตลอดจน  126  นาที  ของหนังโดยส่วนตัวขอแนะนำว่าดื่มกาแฟ  หาของคบเคี้ยวเพื่อกันหลับ  เพราะถ้าคุณไม่อินกับเหล่าตัวละครจากจักรวัฏมาเวลแล้ว  คุณอาจจะจะงีบหลับซบพบรักกับคนข้าง ๆ  คุณ...ก็เป็นได้


4/10  รอเครดิตซักแปป  มีให้ดูอีกนิดนึง  (แต่นานกว่าเรื่องอื่น ๆ  ที่ผ่านมา