วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Hunger Games : Catching Fire

จากชีวิตสู่อำนาจ และการหลอกลวงของมายา




          ถือว่าเป็นหนังเฟรนไชน์ที่ภาคแรกไม่ค่อยเป็นที่นิยมของคนไทย (แต่ทั้งโลกตั้งตา)  แต่พอมาภาค  2  กระแสกลับแรงมาผิดหูผิดตาจนงงเหมือนกัน  กับภาพยนตร์ดราม่ากึ่งโรแมนติกหรืออาจจะไม่มีด้วยซ้ำ  ซึ่งโดยส่วนตัวไม่เคยตามกระแสเพราะภาคแรกนั้นชอบมาก ๆ  โดยเฉพาะนางเอกหน้าคมอย่างเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์

            ภาคนี้เป็นการเล่าเรื่องหลังจากเหตุการณ์เกมส์ล่าชีวิตครั้งที่  74  ที่แคทนิสเป็นผู้ชนะร่วมกับพีต้า  จนทำให้เกิดกระแสต่อต้านเบื้องสูงจากชนชั้นล่างใน  12  เขตปกครองแห่งแคปิตอล  จนลุกลามกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ  การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของคนชั้นล่าง  จนผู้นำสูงสุดต้องดิ้นพล่านจัดเกมส์ล่าชีวิตครั้งที่  75  ที่จะรวมผู้ชนะในแต่ละเขตมาสู้กันอีกครั้ง


            โดยภาคนี้ได้เปลี่ยนผู้กำกับกลายมาเป็น  ฟรานซิส ลอว์เรนซ์  ผู้ที่ฝากผลงานที่คุ้นตาอย่าง  Constantine , I Am Legend  และจะยังเป็นผู้กำกับในอีก  2  ภาคที่เหลือของภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย  (ชื่อภาคว่า Mockingjay 1และ 2)  ที่คราวนี้ก็ยังมาพร้อมกับนักแสดงหน้าเดิม ๆ  ทุกคนและนักแสดงหน้าใหม่อีกเล็กน้อย  แต่จะไม่ขอกล่าวถึงด้วยเหตุผลอะไรนั้นอ่านต่อเลยครับ


            สิ่งแรกที่ต้องขอชมผู้กำกับที่สามารถคุมตีมของหนังได้คงเส้นถึงขั้นดีกว่าภาคแรก  ที่แลดูว่าไม่น่าเบื่อไปกว่าเล็กน้อย  กับตัดฉากการเล่าเรื่อง  การคุมอารมณ์ของหนังทำได้ค่อนข้างดีกว่าภาคแรกเล็กน้อย  โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ดูไม่ปวดหัวและระทึกมากกว่าพอสมควร  รวมไปถึงการคุมอารมณ์ของหนังที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว  สามารถทำให้เรารู้สึกอยากเอาใจช่วยแคทนิสให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นา ๆ  เพื่อที่จะเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า  “เบื้องสูง”  ให้กลุ่มคนชนชั้นล่างสามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา  และประเด็นการจิกกัดเรื่องการเมืองที่ทำได้อย่างเจ็บแสบเอามาก ๆ  (ไม่ขอเอ่ยว่าคล้ายบางประเทศ)

            แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกตะหงิดในเอาก็คือประเด็นในเรื่องความรัก  ที่การโฆษณาของภาคนี้จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องรัก 3 เศร้าระหว่างแคทนิส พีต้า และเกล  ซึ่งเหมือนการโผรโมทอาจจะทำให้หนังดูด้วยลงเพราะเมื่อคิดแบบนั้นมันไม่ต่างจากหนังกาก ๆ  อย่างหนังแวมไพรไร้สาราระอะไรนั่นเลย (ไม่ขอเอ่ยนาม)  เพราะเอาเข้าจริง ๆ  หนังก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องความรักของแคทนิสนั้นเธอเลือกหนือรักใครมากกว่ากันแน่  เผลอ ๆ  ออกแนวรักพี่เสียดายน้อง  แต่ก็อย่างที่บอกนั่นหล่ะว่าหนังยังไม่ชัดเจนหรืออาจจะเป็นเพราะมันไม่ได้โฟกัสจุดนั้นตั้งแต่ต้น  คงต้องไปโทษไอ้คนโปรโมทที่ทำเอาพวกติ่งบ้าความรักไม่ฟินกัน

            ส่วนเรื่องของนักแสดงภาคนี้ถือว่าพอเอาตัวรอดได้ในส่วนของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์  ที่เธอก็ยังคงแสดงอารมณ์ได้อย่างหลากหลายแต่ไม่เท่ากับตอนที่เธอเล่นในเรื่อง  Silver Linings Playbook  ซักเท่าไหร่  ส่วนตัวละครอื่น ๆ  ก็เล่นได้อาจจะตามมาตราฐานแต่ยังไม่ถึงขั้นดีมาก  อาจจะเป็นเพราะตัวของผู้กำกับที่แบ่งความสำคัญของตัวครได้ค่อนข้างไม่ลงตัวพอสมควร  ตัวไหนควรจะเด่นกลับไม่เด่น  ไม่มีการปูตัวละครที่จะไปต่อยอดในภาคต่อไปให้ชัดเจน  จนอาจจะทำให้คนดูสับสนในบางตัวละครว่าคือศัตรูหรือมิตร  แต่สุดท้ายคำตอบก็จะมีในตอนจบนั่นหล่ะ

            The Hunger Games : Catching Fire  ถือว่าเป็นหนังที่สมกับการรอคอยอยู่เหมือนกัน  ถึงแม้ว่าบางประเด็นของหนังยังทำได้ไม่ตื่นเต้นเท่าภาคแรก  หรืออาจจะทิ้งปมไว้ทั่วเพื่อไปคลี่คลายใน  2  ภาคสุดท้ายก็เป็นได้  แต่ยังดีที่มีการจิกกัดเรื่องการเมืองการปกครอง  เรื่องของรัฐศาสตร์  และเรื่องของวงการมายาได้แบบชัดเจนเจ็บแสบเอามากเลยทีเดียว

8.5 / 10

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Gravity
ภยันตรายที่ไร้น้ำหนัก



            ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีการปล่อยคลิปเล็กข่าวน้อยมากพอสมควร  ซึ่งก็ถือว่าเป็นการตลาดอย่างหนึ่งเพื่อยั่วคอหนังให้รอคอยการเข้าโรง  ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างตั้งหน้ารอหนังอวกาศที่เรื่องนี้ค่อนข้างจะใช้หลักความจริงที่ไม่ใช่หนัง  Sci-Fi  ทั่ว ๆ  ไปที่บ้านเราค่อนข้างห่างหายหรือส่วนตัวผมลืมติดตามก็ไม่รู้  แต่ถ้าหนังจำพวกนี้ที่ผมได้ติดตามเท่าที่จำได้แนว ๆ  นี้ก็คิดได้แค่  Apalo 13 กับ Amagedon  แค่นั้นจริง ๆ

            โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับแพทย์สาว  ดร.ไรอัน สโตน (แซนดร้า บูลล็อค)  และนักบินอวกาศหนุ่ม  แม็ต โควอลสกี้ (จอร์จ คลูนี่ย์)  ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อกระสวยอวกาศที่ทั้งคู่ทำงานอยู่นั้น  ดันไปโดนซากขยะอวกาศที่เกิดจากการระเบิดที่มาแบบเป็นห่าฝน  ทำให้ทั้งคู่ต้องร่วมชะตากรรมในการเอาตัวรอดในสภาวะที่เรียกว่า  “ไร้นำหนัก”

          ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย  Alfonso Cuarón  ซึ่งส่วนตัวนั้นยังไม่เคยชมผลงานเก่า ๆ  ของผู้กำกับคนนี้เลย  แต่สิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้จุดหนี่งก็คือ  การได้นักแสดงที่การันตีรางวัลมานับไม่ถ้วน  เรียกว่าไม่มีใครไม่รู้จักอย่าง จอร์จ คลูนี่ย์ และ แซนดร้า บูลล็อค  ซึ่งถือว่าเป็นงานหนักของทั้งคู่ก็ว่าได้ที่ต้องแบกรับหนังทั้งเรื่องโดยเฉพาะรายหลัง

           

            สิ่งแรกที่ได้ชมภาพยนตร์และรู้สึกตื่นเต้นเอามาก ๆ  เพราะไม่ได้เห็นสิ่งนี้มานาน  นั่นก็คือการใช้ฉากลองเทค  ที่น้อยเรื่องจะมีหรือไม่มีมานานแล้วก็ได้  (ถ้าไม่นับหนังจำพวกใช้แฮนดี้แคมถ่ายนะ)  แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ผู้กำกับเค้าจึงจัดลองเทคไปอย่างเนียน ๆ ตาร่วม  15  นาที  พร้อมกับเทคนิคในการถ่ายทำได้แบบเสมือนเราหลุดไปอยู่ในห้วงอวกาศด้วยเลยก็ได้  แถมหนังยังสามารถทำให้เรารู้สึกระทึก ตื่นเต้นพร้อมรู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวเอกหลังจากเกิดอุบัติเหตุแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้  ซึ่งต้องของชมผู้กำกับที่สามารถเนรมิตการถ่ายทำแบบ  Blue Screen  ให้กลายเป็นอวกาศที่ไร้จุดหมายและไร้ทิศทางได้อย่างขาสั่น  แถมด้วยการใช้ซาวด์ดนตรีที่เน้นเงียบ ๆ ไม่มีตูมตาม  แต่ระทึกได้ตอลดเวลา ก็เป็นอีกจุดที่ต้องขอชมเชย

           

            ในเรื่องของการแสดงต้องยอมรับว่าทั้งคู่นั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องตำหนิอะไรเลย  โดยเฉพาะแซนดร้า บลูล็อค  ที่สามารถแสดงสีหน้าความกลัวในฉากลองเทค  ความวิตกกังวลต่าง ๆ ในหนัง หรือง่าย ๆ คือเธอนั้นสามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้อย่างสบาย ๆ เลยทีเดียว

 

            ถึงแม้ในส่วนของบทหนังนั้นแทบจะไม่มีประเด็นอะให้น่าติดตามเลย  ไม่ว่าประเด็นความสิ้นหวังหรือการอยู่รอดเพื่อใครซักคน  ซึ่งบอกเลยว่าหนังนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญของบทหนังเลยแม้แต่น้อย  ซึ่งทำให้เราไม่สามารถอินไปกับตัวเอกว่ามันจะมีชีวิตแบบไหนอะไรก็ช่าง  แต่สามารถลบสิ่งเหล่านั้นด้วยการถ่ายทำที่อลังการและการแสดงส่วนอื่นที่ทำให้เราตื่นเต้น  ทำให้เวลา  91  นาที  ในโรงภาพยนตร์นั้นสนุกและระทึกไปได้ตลอดเวลา  ซึ่งถ้าลองจิตนาการว่าเราหลุดไปอยู่นอกอวกาศที่เราไม่สามารถแหวกว่ายเหมือนน้ำหรือกำหนดทิศทางได้จะเป็นอย่างไร


            7.5/10  เรื่องนี้ต้องดูในระบบ 3D  เท่านั้น เพราะถ้าไปดูระบบธรรมดาผมคิดว่าเสียเงินเปล่า  เพราะต้องไปดูโปรดั๊ดฃั่นเท่านั้นถึงจะคุ้ม

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

The Bling Ring
จากหนึ่งเป็นร้อย
          หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคดีดังในอเมริกาเมื่อหลายปีก่อน  (คาดว่าน่าจะเป็นยุคต้น ๆ ของเฟสบุ๊กและความบูมของ BB)  และอีกหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้ ก็คือการได้เห็นบทบาทใหม่ของ “เฮอโอมนินนี่”  (เลียนเสียงตามรอนในฉบับหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์)  เพราะเธอยิ่งโตยิ่งสวยเอามาก ๆ  จึงไม่เป็นการยากที่จะรีบตีตั๋วไปดูเธอโดยเร็ว  อ่อก่อนซื้อตั๋วอย่าลืมยื่นบัตรประชาชนด้วยนะ  เพราะต้อง 20+  ถึงจะซื้อได้
The Bling Ring  เล่าถึงแก๊งค์  4  สาว  1  หนุ่มเหมือนเกย์  ที่หลงใหลในชีวิตอันหรูหราของบรรดาเซเลบแห่งวงการฮอลลิวู้ด จนทำให้พวกเธอคิดแผนการปล้นสุดแสบในการบุกถึงบ้านคนดัง และสามารถกวาดเสื้อผ้า เครื่องประดับ รวมทั้งข้าวของ ระดับไฮเอนด์ ของบรรดาเซเลบที่ทุกคนรู้ จักกันดีไม่ว่าจะเป็น ปารีส ฮิลตัน ลินด์เซย์ โลฮาน เมแกน ฟอกซ์ มิแรนด้า เคอร์ นับรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านดอลลาร์ไปได้อย่างเหลือเชื่อ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เล่าเรื่องได้เรียบง่ายมาก ไม่สลับซับซ้อนอะไรเดินไปตามเหตุการณ์ของ  1  ในผู้ร่วมชะตากรรม  หรือถ้าพูดอีหนัยหนังจะคล้ายเป็นสารคดีชีวิตของพวกเค้าผ่านมุมมองของ  “มาร์ค”  ชายหนุ่มเหมือนเกย์เพียงผู้เดียวของกลุ่มเกิล์ลแก๊งค์  กำกับโดย  Sofia Coppala  ผู้กำกับสาวที่มีชื่อเสียงคนนึงในวงการ  ที่มาพร้อมกับนักแสดง 1 หนุ่มกับสาวๆ  ผู้น่ารักไม่ว่าจะเป็น  เคที่ ฉาง ในบท รีเบคก้า โจรสาวผู้น่ารัก  อิสราเอล บรูซซาร์ด ในบท มาร์ค ชายหนุ่มไร้เพื่อน เอมม่า วัตสัน ในบท นิคกี้ สาวใสผู้อู้ฟู่ เทียสซ่า ฟาร์มิก้า ในบท แซม น้องสาวต่างพ่อหรือแม่ของนิคกี้ และ แคลร์ จูเลี่ยน ในบท โคลอี้ ผู้ละโมบสุดเซ็กซี่  ซึ่งต้องขอชมเชยเลยว่าเด็กที่ 5 คนนี้เล่นได้เข้าขากันเป็นอย่างมาก
ถึงแม้จะมีดาราสาวอย่าง เอมม่า วัตสัน มาเป็นตัวชูโรง แต่ผู้กำกับกลับเลือกที่จะมอบความเด่นของบทให้กับ เคที่ ฉาง และ อิสราเอล บรูซซาร์ด ซะมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดีกรีของหนังสนุกน้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว  แต่เรากลับทำให้เห็นด้วยซ้ำไปว่า ถึงแม้จะมีนางเอกซุปตาร์ระดับโลกมาเข้าเฟรม  แต่พวกเธอทั้ง 2 หรือแม้แต่คนที่เหลือก็ไม่ได้ดูอ่อนหรือรัสมีไม่เท่ากับเอมม่าเลยซักนิด  มิหนำซ้ำยังอาจจะดูดีและสวยกว่าเธอเป็นบางฉากด้วยซ้ำ
ในเรื่องของบทหนังถือว่าเป็นอะไรที่ดูเรียบง่าย  สบาย ๆ  ไปเรื่อย ๆ ไม่มีอะไรต้องคิดมาก เพราะหนังเล่าให้เราเห็นเหตุการณ์การเริ่มขโมยตั้งแต่สิ่งเล็ก ๆ ไปหาใหญ่จนถึงจุดจบแบบตรง ๆ  บวกกับการเล่นซาวด์ดนตรีที่ทำให้เราได้ลุ้นระทึกในขณะที่พวกเธอกำลังโจรกรรมบ้านคนดังอยู่อย่าสนุกและมีบางครั้งทำให้เราร่วมลุ้นไปกับตัวละครเหล่านั้นด้วย
หนังสะท้อนสังคมได้อย่างชัดเจนในยุคของวัตถุนิยมที่ทำให้วัยรุ่นเหล่านี้ต้องการที่จะมีชีวิตที่หรูหราดั่งเซเลบที่พวกเธอชอบ และต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีเหมือนพวกเธอโดยใช้วิธีลัดแบบผิด ๆ  จนไปถึงจุดจบที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  หนังทำให้เรามองเห็นด้านมืดของมนุษย์ทุกคนที่ยังไงก็ไม่พ้นความละโมบ เหมือนดังเมื่อเราได้เข้าสู่วงการพนันเราก็อยากจะได้ของคนอื่นไม่มีวันสิ้นสุด ก็ไม่ต่างจากพวกเธอเหล่านี้ที่อยากมีชีวิตเหมือนดาราแต่ไม่ยอมไขว่คว้าจนไปถึงการเดินทางที่ผิดมหันต์ในชีวิตที่ไม่อาจเดินย้อนกลับมาได้เลย
หนังเดินเรื่องและปูทางมาสวยงามที่ทำให้เราได้เห็นบทเรียนของสิ่งที่พวกเธอก่อจนคิดว่าดูเป็นหนังหลอกเด็กทั่ว ๆ ไป แต่โดยส่วนตัวคิดว่าตอนจบของเรื่องมันเหมือนเป็นการตบหน้าคนดูฉาดใหม่เพราะไอ้สิ่งที่เราคิดบวกมาโดยตลอดของหนังเรื่องนี้กลายเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่ผู้กำกับสื่อมาโดยไม่รู้ตัวเลยก็ว่าได้
ถือว่าเป็นหนังไม่ใช่ตลาดที่มีสาระและความบันเทิงครบถ้วนในยุคที่มีแต่หนังไร้สาระขายเพื่อเงินอย่างเดียว  แต่เรื่องนี้ก็ยังแฝงไปด้วยเหล้า ยา และความรุนแรงที่ไม่ใช่ทางกายแต่เป็นทางใจซะส่วนใหญ่ไว้มากพอควร จึงเหมาะกับคนที่มีอายุ 20+ ถึงแม้จะเห็นนมได้น้อยกว่าเรื่องที่เข้าพร้อมกันในบ้านเราก็ตาม



8/10  ถึงนมและความเซ็กซี่จะน้อย แต่ความน่ารักนั้นให้เต็มร้อยเลย



Spring Breaker
เรียนรู้ที่จะลองผิด
            หลังจากได้เห็นโปสเตอร์ที่แลดูแล้วหน้าสนใจบวกกับตัวอย่างหนังที่จัดเต็มเน้น ๆ ไปกับเหล่าบิกินี่สาว ๆ  พร้อมที่คิดว่าจุดขายของหนังน่าจะเป็นเรื่องของเด็ก 4 สาววัยใสนมพึ่งตั้งเต้า ควงปืนปล้นแหลกในช่วงหยุดฤดูใบไม้ผลิ ก็อดไม่ได้ที่จะลองตีตัวเข้าไปชมในโรงซึ่งมีน้อยโรงน้อยรอบนัก เพราะมันไม่ใช่หนังตลาดจึงหาดูยากหน่อย แถมเรื่องนี้ต้องตรวจบัตรก่อนดูด้วยนะเออ...



            หนังเรื่องนี้เล่าถึงเรื่องราวของแก๊ง 4 สาวมหาวิทยาลัย ที่รวมตัวกันออกปล้นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เพื่อหาตังค์ไปเที่ยวในช่วงปิดเทอมใหญ่ที่ฟลอริด้า  และได้ความคะนองที่มีทั้งเรื่องของยาเสพติด  สุดท้ายก็ถูกตำรวจรวบตัวได้ แต่ก็มีเจ้าพ่อค้ายาสุดแนว (เจมส์ ฟรังโก้) มาประกันตัวพวกเธอไป โดยแลกเปลี่ยนกับการให้บรรดาโจรสาวทำงานสกปรกให้เขา

          หนังเปิดเรื่องมาช่วงต้นได้น่าสนใจมาก ด้วยการใช้เพลง Scary Monsters And Nice Sprites ของ Skrillex  ปูมาช่วงต้น พร้อมกับฉากจัดเต็มไปด้วยบิกินี่และนม ๆ ๆ สาว ๆ ที่กำลังเมามันในปาร์ตี้ริมชายหาดแบบสุดเหวี่ยง แต่มันก็เป็นเพียงการเริ่มต้นที่น่าสนใจเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น เพราะสุดท้ายหลังเพลงนี้สิ่งที่ได้พบเห็นมันคือความสับสนและไม่ลงตัวอะไรเลยสักนิด

            หนังเรื่องนี้กำกับและเขียนบทโดย  Harmony Korine  ที่ส่วนมากจะมีแต่ผลงานหนังสั้น และโดยส่วนตัวผมไม่เคยรู้จักอีตาคนนี้เลย แต่ก็ยังถือว่าเค้ายังเป็นผู้กำกับมือใหม่คนนึง  กับการทำหนังที่มีต้นทุนเพียง 5 ล้านเหรียญ กับนักแสดงที่กล้าพูดว่าหน้าใหม่ ๆ  และไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงการเอามาก ๆ  แต่เหมือนจะดีที่หนังได้ James Franco (พ่อหนุ่มเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของ Spider Man 1-3)  มาช่วยให้หนังดูน่าสนใจ แต่กลับกลายว่ามันยิ่งดูเละเทะกันไปใหญ่

            นักแสดงน้องใหม่ทั้ง 4 คนถือว่าเล่นกันได้เป็นธรรมชาติแต่ก็มีบางมุมที่ดูจะไม่ค่อยเข้ากัน  หรืออาจเป็นเพราะหนังส่วนมากจะมีแต่เต้น ๆ เมา ๆ ซะส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถแสดงถึงด้านมืดของเด็กที่ใจแตกได้ดีพอควร

            เรื่องของบทหนังเป็นอะไรที่จับต้องและย่อยพร้อมวิเคราะห์อะไรไม่ได้เลย  จับต้นชนปลายไป ๆ มา ๆ บวกกับการตัดต่อที่สลับไปมาระหว่างอดีต ปัจจุบัน อนาคต  พร้อมเพลงประกอบที่ไม่ได้ดูเข้ากันอะไรเลยสักนิด  โดยเฉพาะเรื่องของการตัดต่อถือว่าสอบตกเลย เพราะหนังใช้ภาพซ้ำมากจนเกินไป คือถ้าเราเห็นนมของผู้หญิงช่วงต้นเรื่อง คุณก็จะเห็นแม่งทั้งกลางและท้ายรวม ๆ ถ้าจำไม่ผิดเห็นนมอีนี่และแอคเดิมประมาณ 5 ครั้ง  ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อโคตร ๆ 

            หนังพยายามจะโยงประเด็นหลายประเด็นมาเชื่อม อย่างเช่นเรื่องของศาสนาและการทำความดี  แต่หนังก็ไม่สามารถนำจุดนี้มาฉุดให้หนังดูดีได้เลย  มีแต่จะดิ่งลงเหวกับการไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยที่ควรจะมี  แม้แต่หนังจะพยายามทำให้ดูเป็นเรต R  หรือ 20+  ก็ไม่สามารถทำได้จนสุดเลยแม้แต่นิดเดียว  แม้กระทั้งเรื่องการปล้นหรือการเดินเส้นทางผิดของ  4  สาวก็ไม่สามารถเล่าได้ว่าเหตุจูงใจหรือใครริเริ่มความคิด  และยังทิ้งตัวละครบางตัวให้หายไปดื้อ ๆ  โดยไม่ใยดีจนเราอาจลืมไปว่ามีนักแสดงคนนี้ที่อยู่ในแก๊งค์อยู่ดูแล้วหนังเรื่องนี้มัวแต่โหนกระแสขายความเป็นนม ๆ ๆ ที่เราจะได้เห็นทั้งชมพู ดำไปจนถึงม่วง เรียกว่าเห็นมากว่า  Piranya  มากกว่าเยอะ

           

Spring Breaker ถือว่าเป็นหนังที่ไม่เหมาะกับคนที่มีอายุต่ำกว่า 20 โดยแท้จริง  หน้าหนังอาจจะเห็นแค่บิกินี่ 4 สาว  แต่เนื้อในมันคือเซ็ก ความรุนแรงที่ไม่สุด ยาเสพติดที่เห็นโจ่งแจ้ง และไม่เหมาะที่จะดูเพื่อความบันเทิงทั่วไป เป็นหนังย่อยยากสำหรับคนไทย เพราะเนื้อเรื่องมันไม่สุดโต่งแบบเป็นเอกแต่แม่งมั่วตามฉบับหนังสั้นที่มาขยายให้แม่งงงกว่าเดิม




3/10  เรื่องนี้เหมาะกับชายฉกรรจไร้เมียหรือเบื่อเมียแล้วอยากเห็นมนเด็กเห่อหมอยเท่านั้น อย่าลืมพกบัตรประชาชนก่อนซื้อตั๋วด้วย

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Kick Ass 2
สงครามมหาเกรียน
          หลังจากภาคแรกค่อนข้างประสบความสำเร็จ  (หรือเปล่า)  กับหนังสุดยอดการล้อซุปเปอร์ฮีโร่ในแบบฉบับความเกรียน และความรุนแรงแบบสุดติ่ง  (18+)  ก็ได้เดินทางมาถึงในภาคที่  2  ทิ้งช่วงจากภาคแรกไปถึง  3  ปี  (2010)  พร้อมกับนักแสดงหน้าเดิมครบทีมและดาราดังที่มาชูโรงแทน  “นิโคลัส เคส”  อย่างดาราตลกซุปเปอร์สตาร์  “จิม แครี่


            โดยภาคนี้หนังเล่าถึงหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อภาคที่แล้ว  ทำให้ผู้คนต่างพากันสวมหน้ากากเพื่อปกป้องบ้านเมืองอันเป็นที่รัก  ซึ่งนำทีมโดย  ผู้พันสตาร์สแอนด์สไตรป์  (จิม แคร์รี่ย์)  ผู้ก่อตั้งทีมซุปเปอร์ฮีโร่นาม  “จัสติสฟอร์เอฟเวอร์”  ได้รวบรวมเหล่าผู้ที่ต้องการปิดทองหลังพระหรือเป็นศาลเตี้ย  ในขณะที่เดฟ  (Kick-Ass , แอรอน เทย์เลอร์ จอห์นสัน)  ที่กำลังเบื่อในชีวิตอันซ้ำซากในมหาลัย  จึงเข้าขอฝึกวิชาและก่อตั้งทีมฮีโร่กับมินดี้  (Hit Girl , โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์)  ซึ่งเธอเองก็เบื่อกับชีวิตที่ไม่ใช่ในอายุ  15  ก่อนที่จะถูกพ่อเลี้ยงจับได้ว่ายังไม่ละจากวงการ  จึงต้องจำใจต้องหันหลังให้กับหน้ากาก  พร้อมกับการกำเนิดใหม่ของ  Red Mist  ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น  The MatherFucker  (คริสโตเฟอร์มินท์ แพลสซี)  ที่หวังจะแก้แค้น  Kick-Ass  ที่ฆ่าพ่อของเค้า  ทำให้เหตุการณ์ความเกรียนและวุ่นวายถือกำเนิดขึ้น

          Kick-Ass  2  ครั้งนี้กำกับการแสดงโดย  Jeff Wadlow  (ผลงานที่ผ่านตาคือ Never Back Down)  โดยผู้กำกับภาคก่อนอย่าง  Matthew Vaughn  ขึ้นแท่นเป็น  Producer  พร้อมกับนักแสดงวัยรุ่นทั้งทีมจากภาคที่แล้ว  ซึ่งต้องบอกว่าแต่ละคนนั้นไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงนักถ้าพูดถึงในบ้านเรา  เพราะแต่ละคนผ่านงานมายังไม่มากเท่าไหร่  ไม่ว่าจะเป็น แอรอน เทย์เลอร์ จอห์นสัน, คริสโตเฟอร์มินท์ แพลสซี, โคลอี้ เกรซ มอเร็ตซ์ (สาวน้อยคนนี้แต่งตัวเป็นสาวแล้วน่ารักมาก) แต่ภาคนี้ก็ยังได้ดาราชั้นนำเข้ามาชูโรงอย่าง จิม แครร์รีย์  ที่มาในบทบาทใหม่ที่ไม่ใช่ตลก  ก็มอบการแสดงที่ดีให้กับเราได้พอสมควร

            โดยตัวหนังในภาคนี้ถ้าเปรียบเทียบเนื้อหาภาคแรกนั้น  ค่อนข้างหน้าผิดหวังอยู่นิด ๆ  ในเรื่องของแอคชั่นที่โหดถึงใจ  เลือดเป็นเลือดอะไรพวกนี้จะเห็นน้อยกว่าภาคแรกอยู่พอสมควร  แต่หนังกลับมาได้ดีในเรื่องของการตัดต่อที่ดูกระชับไม่ปวดหัว  พร้อมกับการใช้ซาวด์ดนตรีประกอบระหว่างฉากที่ไม่ได้เข้ากับความโหดร้าย  แต่กลับได้รสชาติของความฮาเต็ม ๆ  ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นแอคชั่นที่ไม่ได้ดูแล้วรู้สึกระทึกตื่นเต้น  แต่กลับหัวเราะในระหว่างที่เราดูการฆ่ากันได้อย่างถึงพริกถึงขิง  ในส่วนของบทหนังนั้นค่อนข้างหลวมเอาการเลยทีเดียว  แต่ก็ยังแก้ไขได้ในส่วนของการเล่าเรื่องที่กระชับไม่ซับซ้อน  ไม่ต้องคิดมาก  ดูไปเรื่อย ๆ  เพื่อความบันเทิงเริงรมณ์  จนคุณอาจจะลืมความน่าเบื่อของบทหนังไปเลยก็เป็นได้  หนังเรื่องนี้ถือว่ามีจุดหนึ่งซึ่งแสบใช้ได้  คือการล้อเลียนซุปเปอร์ฮีโร่ทั้ง  2  ฝั่ง  (Mavel และ DC)  ได้แบบเนียน ๆ  และแสบคันเอามาก ๆ  พอดู  แถมหนังยังสามารถนำเอาเรื่องของโซเชียลเน็ตเวิคมาใช้ในเรื่องได้อย่างสร้างสรรดี  จนทำให้เราคิดถึงตัวเราได้โดยตลอด


            ถ้าเราดูหน้าหนังอาจจะคิดว่าเป็นแค่แอคชั่นมันส์ ๆ  ทั่ว ๆ ไป แต่หนังกลับแฝงเรื่องของความถูกต้องและสังคมอันไม่ยุติธรรมที่อยู่บนโลกใบนี้ได้ตรง ๆ  จนเป็นที่มาของเหล่าหน้ากากเพื่อผดุงคุณธรรมในเมื่อกฎหมายเอาผิดพวกมันไม่ได้  แต่เหล่าหน้ากากนั้นก็ลืมไปว่าบ้านเมืองนั้นกฎหมายก็ยังเป็นที่ตั้งอยู่เสมอ  แต่การจะทำความดีอะไรสักอย่างนั้นคนเราก็ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเสมอไป  ขอแค่ทำด้วยใจยังไงสังคมก็ย่อมยอมรับ

            Kick-Ass  2  ถือว่าเป็นหนังล้อเลียนซุปเปอร์ฮีโร่ในแบบฉบับความเกรียนบนโลกแห่งความจริง ที่สะท้อนปัญหาสังคมได้อย่างชัดเจน  ความยาว  103  นาที  ของหนังเรื่องนี้ถือว่าไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป  แต่เหมาะสำหรับคนอายุ  18+  นะครับเพราะคิดว่าก็ยังรุนแรงอยู่พอประมาณถึงแม้มันจะฮามากกว่าก็เถอะ  ถึงแม้บทค่อนข้างจะห่วยแต่มันก็มอบอะไรดี ๆ  เกี่ยวกับเรื่องสังคมและการทำความดีที่ไม่มุ่งเน้นได้อย่างชัดเจน  อยู่ที่ว่าใครจะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งที่เห็นและที่ผู้กำกับมอบมาให้กับเราก็เท่านั้นครับ



            7/10  รอดูเครดิตให้จบ  จะมีอะไรแถมท้าย  จะบอกอะไรต่อนั้นดูเอาเอง

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Tha Wolverine

หลงทางไปหารุ่นแรก
          ภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่  ถือว่าเป็นภาพยนตร์ตลาดหนึ่งแนวที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในต่างประเทศและบ้านเรา  นั้นต้องบอกว่ามีมานานกว่า  50 ปี  หรือมากกว่านั้นเพราะเกิดไม่ทัน  แต่ถ้านับเฉพาะในจอเงินที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในบ้านเราคงหนีไม่พ้นบรรดาซุปเปอร์ฮีโร่ที่มาจากค่าย  “Marvel Comic  โดยเรื่องแรกที่ปรากฎบนจอเงินก็คือเรื่อง  “Captain America”  ในปี 1944  ส่วนในบ้านเราผมคาดว่าเรื่องแรกน่าจะเป็น  “The Fantastic Four”  ในปี  1994  อันนี้ไม่แน่ใจว่าเข้าฉายบ้านเราหรือไม่  เพราะยุคนั้นคือยุครุ่งเรืองของหนังไทยกับค่าย  “ไฟว์สตาร์”  ไม่ก็  “อาวอง”  ถ้าจำไม่ผิดนะ  แต่ถ้าเรื่องที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในประเทศไทยคงจะเป็นนักฆ่าผีดิบ  “Blade  ในปี  1998  แล้วก็เป็นที่นิยมต่อมาในหลาย ๆ  เรื่อง

            โดยหนึ่งในเฟรนไชด์ที่ขายดีของค่ายนี้คงหนีไม่พ้น  X-MEN  ที่ผ่านไป  3  ภาค  ก็มีการนำตัวละครเด่นมาสร้างเป็นภาคแยกของตัวเอง  และตัวที่ได้รับความสนใจมากที่สุดก็คือ  “Wolverine  มีภาคแยกมาแล้วในภาค  “Origins  โดยภาคนี้ถือว่าไม่ใช่ภาคต่อของอันแรก  แต่หนังได้ทำให้มันกลายเป็นภาคต่อของ  “X-MEN The Last Stand  ซึ่งจะเล่าเรื่องหลังจากเหตุการสงครามมนุษย์กลายพันธุ์  และปมที่ยังฝังใจของ  “โลแกน”  ในเรื่องอดีตที่จะต้องแก้ไขให้หายไปจากชีวิต  โดยครั้งนี้เค้าถูกเชิญไปยังญี่ปุ่นเพื่อมาพบบุคคลผู้ที่โลแกนเคยช่วยไว้ในสมัยอดีต  ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะกลับตาลปัดกลายเป็นความวุ่นวายครั้งใหม่ของเค้าที่มั่วไปหมด


            ในภาคนี้กำกับโดย  James Mangold  ที่เคยฝากผลงานผ่านตามาแล้วอย่าง  “Indentity  และเคยเขียนบทเรื่องดังอย่าง  “Walk The Line  ส่วนของนักแสดงนำก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะถ้าเปลี่ยนก็คงแปลกนั่นก็คือ  “Huge Jackman  ซึ่งชื่อนี้การันตีความสามารถอยู่แล้ว  พร้อมนักแสดงญี่ปุ่นมากหน้าหลายตาแต่ไม่รู้จักใครเลยหว่ะ ไม่ว่าจะเป็นผู้มารับบทนางเอกของเรื่อง  “Tao Okamoto  ในบทของ  “Mariko”  หลานสาวตระกูลนักธุรกิจชื่อดังในญี่ปุ่น  “Rila Fukushima  ในบท  “Yukio  น้องสาวที่ถูกเก็บมาเลี้ยงพร้อมพลังหยั่งรู้อนาคต  “Yashida  รับบทโดย  “Ken Yamamura” ในตอนหนุ่มและ Hai Yamanouchi ในตอนแก่”  เจ้าของบริษัทเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่นผู้ต้องการตอบแทนบุญคุณโลแกน  และที่ขาดไม่ได้  “Famke Janssen  ในบท  “Jean Grey  ที่จะโผล่มาเป็นพัก ๆ  แต่ก็ดูเหี่ยวไปตามการเวลา

ในเรื่องของนักแสดงของเรื่องนี้ไม่ถือว่าขาย  “Huge Jackman  มากจนเกินไปจริง ๆ  ถึงแม้ว่าออร่านักแสดงจะปิดบังเหล่านักแสดงญี่ปุ่นเกือบหมด  แต่ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องแนววิถีของยากูซ่า  นินจาและซามูไรแล้ว  ถือว่านักแสดงทุกคนเล่นกันได้อย่างดีเยี่ยมในเรื่องของอารมณ์ความเป็นชาตินิยม วัฒนธรรมที่ต้องเคร่งครัดตั้งแต่บรรพบุรุษ  ทุกคนล้วนแต่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมไม่น้อยหน้าไปกว่าพระเอกระดับฮอลลีวูดเลยแม้แต่น้อย  แต่ถ้าเทียบโดยรวมของหนังทั้งเรื่อง  ส่วนดีที่เห็นก็คงจะมีอยู่แค่นั้นจริง ๆ 

ในเรื่องของบทซึ่งเมื่อเห็นชื่อหนังของผู้กำกับคนนี้ที่เคยทำมาแล้ว  พบว่าจะเป็นแนวดราม่าซะมากกว่า  ซึ่งการมาจับหนังแอคชั่นในครั้งนี้ผู้กำกับเลยเหมือนต้องการทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่แนวใหม่ที่นิยมในปัจจุบัน  คือลดทอนความแอคชั่น  การใส่ความเป็นดราม่า  เพิ่มเรื่องของปมในจิตใต้สำนึกของตัวเอกให้ดูว่ามีอะไร  ใส่ดนตรีประกอบให้ดูระทึกโดยไม่มีการตบตี  ทำความเป็นหนังฮีโร่ที่เคยผ่านมาจากแนวโปลิสจับขโมยให้กลายเป็นดาร์กไซด์มากยิ่งขึ้น  ถ้าจะพูดอ้างอิงในแนวนี้กับเรื่องอื่น  (นี่จะเป็นครั้งแรกที่เปรียบเทียบกับบุคคลที่ 3)  หนังฮีโร่แนวดราม่าที่เห็นภาพชัดเจนคงหนีไม่พ้น  “Batman  ไตรภาคล่าสุด  แต่ถ้าในส่วนของมาเวลเองนั้น  ถ้านำเสนอเรื่องของความดราม่าแบบสุด ๆ  ก็คงจะเป็น  “Iron Man 3  แต่สำหรับหนังเรื่องนี้มันกับกลายเป็นว่าหลงทิศหลงทางไปหมดเลย  ตัวบทก็แลดูมั่วจับต้องทิศทางไม่ถูก  หาเหตุและผลของการมาของโลแกนไม่ได้  จะดูเป็นการบังคับ  บังเอิญ  หรือจงใจ  อันนี้เป็นสิ่งที่เราจะหาไม่ได้เลยในหนังเรื่องนี้  แถมการใส่ปมอันขมขื่นของโลแกนด้วยแล้ว  ฟังดูอาจจะดูดีมีชาติตระกูล  แต่ทำไปทำมามันกลับกลายเป็นความหน้าเบื่อไปเลย  ยิ่งมาลดความแอคชั่นไปด้วยนั้นยิ่งทำให้หนังไม่มีความน่าสนใจแม้แต่น้อย  (ทีเซอร์หรือสปอยที่ออกมาโปรโมทก่อนเข้าฉาย  แทบจะเป็นแอคชั้นทั้งหมดของหนังเลยก็ว่าได้)  ตัวผมคิดว่าเมื่อภาคก่อน (Origins)  นั้นเป็นภาคที่แป๊กและไม่สนุกที่สุดในเฟรนไชด์  X-Men  แต่พอมาภาคนี้กลายเป็นว่าไม่มีความสนุกที่มากกว่าของเก่าเลยแม้แต่น้อย  เหมือนหนังทำออกมาเพื่อขายชื่อของ  “Wolverine  อย่างเดียวเท่านั้น  แต่ส่วนอื่น ๆ  นั้นไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

The Wolverrine ถือเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่แค่เพียงโหนกระแสให้สาวกได้ฟินและเห็นตัวละครที่ชอบเท่านั้น  โดยไม่สนใจและใส่ใจในรายละเอียดของบทหนังซักเท่าไหร่เลย  แถมเหมือนจะทำคั้นกลางเพื่อรอ  X-MEN Day Of Future Past  แบบสั่ว ๆ  ที่ไม่มีเงื่อนงำแต่ดันโผล่มาแบบดื้อ ๆ   ตลอดจน  126  นาที  ของหนังโดยส่วนตัวขอแนะนำว่าดื่มกาแฟ  หาของคบเคี้ยวเพื่อกันหลับ  เพราะถ้าคุณไม่อินกับเหล่าตัวละครจากจักรวัฏมาเวลแล้ว  คุณอาจจะจะงีบหลับซบพบรักกับคนข้าง ๆ  คุณ...ก็เป็นได้


4/10  รอเครดิตซักแปป  มีให้ดูอีกนิดนึง  (แต่นานกว่าเรื่องอื่น ๆ  ที่ผ่านมา




วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Pacific Rim
มหาสงครามจักรกลของคนยุคเก่า
            ถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่มีการโปรโมทมาต้องแต่ปีก่อน  โดยจุดขายหลัก ๆ  จะอยู่ที่ชื่อของผู้กำกับและภาพโปสเตอร์ที่มี “ไอ้หุ่นกระป๋อง” กับสัตว์ประหลาดที่เรียกกันในหนังแนวขบวนการเซนไต (ขบวนการ 5 สี) หรือจะเป็นอุลต้าแมนเอย...ว่า “ไคจู”  ก็เป็นอะไรที่อาจจะดูตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้ของคนบางกลุ่มโดยเฉพาะเหล่าคฑาชายทั้งหลาย 

                เมื่อกองทัพสัตว์ประหลาดที่โหดร้ายในนามของ ไคจู อุบัติขึ้นมาจากทะเล จึงเกิดสงครามที่คร่าชีวิตคนนับล้านและทำลายทรัพยากรของมนุษย์มานานหลายปี ในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวยักษ์ ไคจู ทำให้ต้องมีการประดิษฐ์คิดค้นอาวุธพิเศษขึ้นมา หุ่นยนต์ยักษ์ที่เรียกว่า เจเกอร์ส ซึ่งต้องควบคุมพร้อมกันโดยผู้ควบคุม 2 คน จิตของพวกเขาจะถูกเชื่อมต่อกับสะพานกระแสจิต แต่ถึงแม้เจเกอร์สจะพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่สามารถปกป้องผู้คนให้พ้นจากไคจูจอมอึดได้ บนเส้นทางแห่งความพ่ายแพ้ กองกำลังแห่งมนุษยชาติไม่มีทางเลือก ต้องหวนไปหากลุ่มฮีโร่ที่ไม่น่าเชื่อ ทั้ง 2 คนอย่างอดีตนักบินตกอับ (Charlie Hunnam) และผู้ฝึกหัดที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ (Rinko Kikuchi) ผู้ต้องมาร่วมทีมกันสร้างตำนานเจเกอร์สที่ตกยุคจากอดีต และพวกเขายังยืนหยัดอยู่เป็นความหวังสุดท้ายของเหล่ามวลมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับหายนะล้างโลกที่กำลังทวีคูณ


                โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกลับมาอีกครั้งของผู้กำกับเลือดแม็กซิกันอย่าง Guillermo del Toro ผู้ที่เคยฝากผลงานฮีโร่สุดประหลาดอย่าง Hell Boy  ทั้ง 2 ภาค  หรือจะเป็นหนังรางวัล (รึเปล่า) อย่าง  Pan’s Labyrinth ซึ่งผลงานสร้างชื่อที่ผ่านมาต้องบอกว่าแต่ละเรื่องนั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้างอยู่แล้ว  โดยรอบนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกเหมือนกัน (หรือเปล่า)  ที่เค้าเลือกใช้นักแสดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในส่วนของ TV Series ซะเป็นส่วนใหญ่

            ในส่วนของการแสดงต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมในเรื่องของการแชร์บท  เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะไม่เห็นว่าใครเด่นกว่าใครเลยแม้แต่น้อย อย่างเช่น Charlie Hunnam กับบท Releigt Becket  หรือจะเป็น  Rinko Kikuchi นักแสดงสาวชาวญี่ปุ่นในบทของ  Mako Mori  Idris Elba กับบทผู้การ Stacker Pentecost  หรือจะเป็นคนอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่เล่นในบทบาทของตัวเองได้เป็นอย่างดีโดยที่ไม่มีใครเด่นกว่าใครเลย  เคมีนักแสดงก็ดูตรงกันมาก ๆ  และจะมีตัวแย่งซีนบวกความรำคาญของ 2 ตัวนักแสดงในบทนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรอย่าง  Charlie Day ในบท Dr.Newton  และ  Brun Gorman  ในบทของ Gottlieb  ก็ถือว่าเป็น 2 ตัวแย่งซีนประจำหนังกันเลยทีเดียว (แต่บางครั้งก็แอบรำคาญอยู่นะ)

            ในด้านของบทหนังนั้นต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่มั่วและไม่มีสาระอะไรในตัวหนังเลยแม้แต่น้อย  ทิ้งปมนั้นปมนี้เต็มไปหมดโดยที่ไม่มีการแก้หรือบอกให้กับเราได้รู้  ถึงบอกก็ดูว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเลยแม้แต่น้อย  เพราะถ้าจากตั้งแต่ดูตัวอย่างและความตั้งใจของผู้กำกับแล้ว  เหมือนจะว่าไม่ได้ให้ความสำคัญใด ๆ  กับบทหนังแม้แต่น้อย  แต่เค้ากลับไปแน่นในเรื่องของการตีความหมายของหนังแนวสัตว์ประหลาดบุกโลก  แนวพังทลายล้าง  คือพูดง่าย ๆ  เอาความมันส์อย่างเดียว ซึ่งถือว่ามันสามารถกลบในตัวบทที่อ่อนเอามาก ๆ  ได้แทบจะหมด (แต่บางฉากก็แอบเบื่อเหมือนกันนะ)

            ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนเป็นความตั้งใจของ  Guillermo del Toro  ที่พยายามจะทำหนังสไตล์ตะวันออก (เซนไตญี่ปุ่น)  หรือพูดง่าย ๆ  คือผู้กำกับค่อนข้างจะหลงไหลในตัวของการ์ตูนทางฝั่งญี่ปุ่นเอามาก ๆ  เพราะหนังทั้งเรื่องเป็นแนวตัวเอกก็อปปี้อุลต้าแมน , กันดั้ม , มาร์ครอส ส่วนฝั่งตัวร้ายก็คล้ายกับหนังขบวนการเซนไตเอามาก ๆ  หรือจะเป็นสัตว์ประหลาดในอุลต้าแมนบุกโลก  หรือจะเป็นก๊อตซิลล่าก็ได้นะเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชอบโผล่มาจากใต้มหาสมุทรทุกครั้งไป  โดยนำส่วนผสมทั้งหมดมาทำให้เป็นหนังฮอลลีวูด  แต่เป็นสไตล์มังงะอย่างแท้จริง  ทั้งตัวหุ่นยนตร์ที่ดูสมจริงสมจังและน่าจะเป็นไปได้ที่สุด ซึ่งผมว่าดูดีกว่า  Tranformer  เอามาก ๆ  นะถ้าในตัวของหุ่นยนตร์  การสู้กับที่มีเรื่องของการบังคับโดยใช้สมองต่าง ๆ  ก็ดีดีมากทีเดียว (ซึ่งหุ่น 1 ตัวไม่สามารถบังคับคนเดียวได้ ไม่เชื่อไปดูขบวนการเซ็นไต มีน้อยคนที่จะทำได้)  และตัวสัตว์ประหลาดก็เป็นอะไรที่ดีและเยี่ยมเอามาก ๆ  ทุกตัวเลย (เห็นว่าพอหนังเรื่องนี้ฉาย ตัว “ไคจู” เป็นที่ต้องการของตลาดจยขาดตลาดไปแล้วด้วยซ้ำ)  ถือว่าเป็นหนังคาราวะต้นฉบับมังงะญี่ปุ่นในแบบของฮอลลีวูดอย่างแท้จริง

            ถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังที่ดูได้เพลิน ๆ  สนุกสนานไม่ซีเรียส พร้อมเอาใจเหล่ามังงะรุ่นเก่าเป็นไหน ๆ  ที่อยากจะย้อนวันวานหนังสู้รบหุ่นยนตร์ในอดีตให้ดูแล้วคิดถึงอยากกลับไปซื้อหุ่นยนตร์กับสัตว์ประหลาดมาเล่นกันอีกก็เป็นได้ (ไม่แน่ใจว่าเด็กรุ่นใหม่จะอินกับหนังแนวนี้หรือเปล่าเพราะหลายปีมานี้ไม่เป็นขบวนการเซ็นไตฉายช่องฟรีทีวีเลย แม้กระทั้งอุลต้าแมนด้วยอ่ะนะ)  ส่วนผู้หญิงนั้นผมว่าลองปล่อยใจดูแล้วผมเชื่อว่าจะสนุกเอามาก ๆ  เหมือนกัน เพราะผมคิดว่าเป็นหนังที่ไม่เหมาะกับผู้หญิงเลยสักนิดเดียว  และหนังเรื่องนี้ต้องดูเพทื่อความบันเทิงและย้อนวันวานเท่านั้น ส่วนสาระนั้นคุณจะไม่มีวันได้เห็นมันแน่ ๆ




7/10  เพื่อความมันส์ที่ครบเครื่อง ควรดูโรง IMAX นะจ้ะ และหนังจบอย่าพึ่งลุก มีมุขเล็ก ๆ ช่วงท้ายเครดิตนะจ้ะ