ตุ๊กแกรักแป้งมาก
เดินตามฝัน เติมความรัก
ภาพยนตร์ไทยที่น่าสนใจบางคนอาจใช้บรรทัดฐานของค่ายหนังนั้น
ๆ ในการรับชมเป็นหลัก หรือบางคนอาจดูที่ตัวนักแสดง
หรือผู้กำกับเพื่อพิจารณาก่อนเสียเงินเข้าไปดูหนังเรื่องนั้น ๆ
แต่บางเรื่องก็อาจมีอันต้องผิดหวังกลับมา หรือบางเรื่องอาจจะดีเกินกว่าที่คาดไว้
ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่แล้วแต่มุมมองของแต่ละบุคคลว่าจะชอบแนวหรือเนื้อหาแบบไหนเสียมากกว่า
เหมือนดั่งภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ตัวผมเองนั้นคิดว่าเป็นหนังที่บริสุทธิ์ ซื่อตรง
และหาดูได้ยากในยุคหนังไทยที่เน้นขายของ ขายฉาก เอฟเฟ็กและหน้าตานักแสดงเสียส่วนใหญ่จนลืมองค์ประกอบในการเล่าเรื่องไปด้วยแล้วมั้ง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึง
“ตุ๊กแก” (เก้า จิรายุและน้องแม็ก ณัฐพัชร์)
เด็กน้อยผู้มีความฝันอยากทำงานด้านศิลป์ที่เกี่ยวกับหนังโดยเฉพาะการได้กำกับภาพยนตร์ซักเรื่อง แอบตกหลุมรักที่ฝังใจกับ “แป้ง” (เพลง ชนม์ทิดา และ น้องพรีม นิกานต์) เด็กน้อยลูกสาวนายอำเภอแห่งเชียงคานที่เป็นเจ้านายของบ้านตุ๊กแก
และเป็นซุปตาร์ข้ามคืนจากการเล่นภาพยนตร์ ด้วยเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปในยุคสมัยดิสโก้
ตุ๊กแกต้องการที่จะพบกับแป้งเพื่อแก้ไขบางสิ่งในอดีตพร้อมทำให้ทั้งคู่มายืนอยู่เคียงข้างกันเช่นเดิม
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย
“ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค”
ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากคนนึงในวงการภาพยนตร์ไทยที่เคยฝากผลงาน อาทิ
มือปืนโลกพระจันทร์, กุมภาพันธ์, อีติ๋มตายแน่, มือปืนดาวพระศุกร์และอื่น ๆ
อีกมากมาย
ซึ่งหลายเรื่องของผู้กำกับคนนี้จะเน้นและมีการจิกกัดเรื่องของสังคม,
การเมืองไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะยุคหลัง ๆ เรื่องของกีฬาสี
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องแรกก็ได้ที่มีความบริสุทธิ์ที่สุด ซื่อตรงที่สุด
และดูสดใสเหมือนไม่มีอะไรแต่ได้หลายอย่าง ซึ่งถือว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ของ “ต้อม ยุทธเลิศ”
เป็นหนัง Feel
Good น้ำดีที่หายากก็ได้มั้ง
(แต่น่าเสียดายที่เรื่อง “ปิตุภูมิ”
หนังสะท้อนสังคมและการเมืองเกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้ฉาย
เพราะอะไรนั้นก็มิอาจตอบได้ ยังไงผมก็ยังรอดูหนังเรื่องนี้อยู่แน่นอน”

ในเรื่องของบทภาพยนตร์นั้นถือว่าอาจจะดูไม่มีอะไรซับซ้อน
สามารถเดาและคาดหมายตั้งแต่ต้นได้อยู่แล้วเพราะมันอาจจะดูเหมือนเป็นหนังรักทั่วไป เล่าเรื่องไปตามอารมณ์และสถานะการณ์ทั่ว ๆ ไป
แต่สิ่งที่มันได้มากกว่านั้นก็คือเรื่องของอารมณ์ร่วมต่าง ๆ
ที่ผู้กำกับนั้นได้ใส่ไว้ให้เราได้รู้สึกขำ ซึ้ง
และอมยิ้มไปกับมันได้ตลอดเวลาทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่าบทหนังนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเลยซักนิด
ถือเป็นการกลบจุดบอดได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

หนังยังคงเสน่ห์ของการได้จิกกัดเล็กน้อย
เพียงแต่เรื่องนี้ไม่มีการเมืองเลย (มีแต่เชิงสัญลักษณ์นิดนึง)
แต่เรื่องนี้จะเน้นหนักและจิกกัดไปที่เรื่องของวงการภาพยนตร์บ้านเราได้แบบตรงไปตรงมา
ทั้งเรื่องก่อนจะมาเป็นผู้กำกับเอย นักแสดงเอย การขายบทเอย ถือว่าทำได้แบบสะดุ้งวงการเล่น ๆ
และเรื่องของระบบศักดินาที่ยังไม่ขาดหายไปจากประเทศ

9/10
ปล. ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะถูกจริตกับคนที่มีอายุ 30 - 40 ปีขึ้นไป
หรืออาจให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้เรื่องของเด็กสมัยก่อนก็ได้