วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

12 Year A Slave

ต้องรอด

          จัดได้ว่าเป็นหนึ่งตัวเต็งรางวัลออสการ์  สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม  หลังจากได้รางวัลสาขาภาพยนตร์ประเภทชีวิต  บนเวทีโลกโลกทองคำครั้งที่ 71  เมื่อกลางเดือน  และก็ถือเป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงอีกเรื่องในรอบ  2  ปีนี้มีมากโขจนนับไม่ไหวแล้ว

            หนังนั้นเล่าถึงเรื่องจริงสุดสะเทือนใจของ โซโลมอน นอร์ทอัพ (ชิวอิเทล เอจิโอฟอร์) นักไวโอลินอัจฉริยะ ชายผิวดำที่เป็นไท  ถูกลักพาตัวไปขายเป็นทาส เขาใช้เวลานานถึง 12 ปี ในการต่อสู้เพื่อทวงคืนอิสรภาพ และ การใช้ชีวิตแบบไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

            หนังเรื่องนี้กำกับการแสดงโดย สตีฟ แม็คควีน  ซึ่งโดยส่วนตัวนั้นไม่เคยได้ชมผลงานเก่าอย่าง  Shame  และ  Hunger  มาก่อน  เลยยังไม่รู้แนวขอผู้กำกับคนนี้เป็นแบบไหน  นำแสดงโดย ซิวอิเทล เอจิโอเฟอร์  ที่มีผลงานผ่านตามาแล้วอย่าง  2012  ในบทด็อกเตอร์ที่ได้กับลูกประธานาธิบดีนั่นหล่ะ

            โดยถ้าเราคิดถึงหนังที่เกี่ยวกับทาส  ทุกเรื่องก็ย่อมจะนำเสนอมุมที่ว่า “คนขาวเลว”  แต่หนังเรื่องนี้กลับได้อีกหลายมุมที่บางเรื่องไม่อาจจะบอกหมด  ไม่ว่าจะเป็นความโสมมของยุคสมัยทาส  ความกดขี่ข่มเหงเยี่ยงคนดำมิใช่มนุษย์  เปรียบดั่งคนเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งของที่คนมีเงินจะทำอะไรกับของสิ่งนั้นก็ได้  ถ้าเทียบให้ทันโลกก็คงจะเป็นการแขวะชนชั้นวรรณะที่คนกลุ่มนึงสามารถทำได้  แต่คนกลุ่มที่ถูกมองว่าต่ำกว่าทำไม่ได้ยังไงยังงั้น  แต่ตัวหนังก็ไม่ได้โทษความรุนแรงที่เกิดขึ้นในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็นการตี ฟาด ลงโทษต่าง ๆ ก็กลับโทษที่กฎหมายในสมัยนั้นบัญญัติไว้ว่า “ขาวสูงกว่าดำ”  ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์บางนิกายในอดีตนั่นเอง

            แต่สิ่งที่ได้รับประสบการณ์ใหม่ของหนังเรื่องนี้คือฉาก “ลองเทค”  ที่สมัยนี้ค่อนข้างหายาก  หรือส่วนใหญ่จะเป็นลองเทคที่เคลื่อนไหวได้อย่างเรื่อง  Gravity  แต่เรื่องนี้กลับใช้ลองเทคแบบกล้องนิ่งเป็นเวลานานเกือบ  5  นาทีเห็นจะได้  แต่เป็น  5  นาทีที่ถ้าใครได้ดูแล้วจะรู้สึกถึงความอึดอัด โกรธ เกลียด และสงสารพร้อมสมเพศกับยุคสมัยที่บนโลกใบนี้ไม่มีใครยอมรับและไม่ต้องการ  ยกเว้นประเทศสารขันณฑ์เท่านั้นที่ยังคงต้องการอยู่

            ด้านของการแสดงของ ชิวอิเทล เอจิโอฟอร์  ในบท  โซโลมอน นอร์ทอัพ  ก็สามารถเล่นได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เว่อจนเกินไป  เล่นได้ทั้งน่าสงสารและน่าหมั่นใส้ได้เป็นอย่าง ๆ ถือว่าสามารถคุมโทนหนังและพาตัวละครตัวนี้ไปถึงฝั่งได้เป็นอย่างดี  ส่วนอีกคนนึงคงหนีไม่พ้นทาสสาวผิวดำ  (จำชื่อไม่ได้)  กับหัวหน้าทาสผู้โหดเหี้ยม (จำไม่ได้เช่นกัน)  ที่ทั้ง  2  ต่างเล่นได้อย่างดีจนบางครั้งก็อยากจะฆ่าทาสสาวคนนี้และสงสารทาสผู้โหดเหี้ยมคนนี้ก็เป็นไปได้ด้วยเหมือนกัน

            ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สมควรแก่รางวัลลูกโลกทองคำ  และคาดว่าก็คงไม่พลาดที่จะได้รางวัลออสการ์อีกเช่นกัน  เพราะหนังอาจจะสื่อเพียงเรื่องของทาส  แต่เมื่อดูจบแล้วหนังกลับบอกกล่าวหรือให้อะไรกว่าที่เราคิดไว้  ไม่ว่าจะเป็นสังคมแห่งการกดขี่  สังคมที่เท่าเทียมกัน  การต่อสู้เพื่ออิสระภาพของคน ๆ นึงแต่สะท้อนได้ถึงทั้งโลก  การเรียกร้องสิทธิของตนในโลกที่ไม่สามารถเสียงดังได้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมอย่างให้ไปลองชมเอาเอง




            9 / 10
Captian Phillips

2 ด้านของมนุษย์

          ถือว่าตั้งแต่ปีที่แล้วหนังที่เข้าชิงรางวัลต่าง ๆ นานามักนิยมจะเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงมาทำเป็นหนังเช่น หนังยอดเยี่ยมเวทีออสการ์ครั้งแล้วอย่าง  Argo  โดย Captian Phillips  ก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นำมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว

            หนังเรื่องนี้เล่าถึงข่าวเมื่อปี  2009  เมื่อริชาร์ด ฟิลลิปส์  กัปปิตันเรือขนส่งสัญชาติมะกัน  ได้ล่องเรือเพื่อบรรทุกของตามปกติ  แต่ดันเจอโจรสลัดโซมาเลียยึด  พร้อมจับเป็นตัวประกัน  ซึ่งถือว่าเป็นเรือทะกันลำแรกในรอบ  200  ปีที่โดนยึดด้วยกลุ่มโจรพร้อมอาวุธเพียงไม่กี่คนเท่านั้น  หนังเรื่องนี้อิงโครงเรื่องจากนิยาย  A Captain’s Duty: Somali Pirates, Navy SEALs, and Dangerous Days at Sea ของ ริชาร์ด ฟิลลิปส์

            ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย พอล กรีนกราส ที่เคยฝากผลงานขึ้นชื่ออย่างหนังชุด เจสัน บอร์น ภาค Supremacy และ Ultimatum  หรือจะเป็ United 93  ที่ทำให้คนดูเครียดมานักต่อนัก  ซึ่งมารอบนี้เค้าได้ร่วมมือกับพระเอกชื่อโคตรดังอย่าง  ทอม แฮงส์  ที่มาสวมบทบาทของกัปตันฟิลลิปส์  ที่คราวนี้ต้องมาประชันบทบาทกับ  Barkhad Abdi  นักแสดงตัวประกอบที่ได้เล่นบทนำตัวร้ายโจรสลัดโซมาเรียในบท  “มูเซ่

            ซึ่งถ้าใครได้ดูหนังของ พอล กรีนกราส  เรื่องก่อน ๆ  ก็พอจะเดาได้ว่าเค้าสามารถทำให้หนังรู้สึกเครียดและกดดันได้ในสถานะการณ์ที่ต้องกดดัน  หรือจะเป็นแอคชั่นที่จัดเต็มได้อย่างค่อนข้างลงตัว  ซึ่งหนังเรื่องนี้มีพร้อมทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นสถานะกาณณ์ที่จะทำให้คุณกดดัน  หรือจะเป็นแอคชั่นที่ก็บอกว่าจัดเต็มโดยที่ไม่ต้องมีระเบิดตูมตามก็มันส์ได้ ณ จุด ๆ นี้

            แต่สิ่งที่แย่ที่สุดของหนังที่ทำเอา (ส่วนตัว) ไม่ชอบซะเลยคือการตัดทอนนักแสดงออกไปแบบไร้ซึ่งเหตุผล  คืออย่างเช่น  ตัวหนังได้ปูบทของเหล่าลูกน้องที่ช่วยเหลือต่อสู้กับเหล่าโจรสลัด  พอเหล่านาวีมา  หนังกลับทิ้งเหล่าลูกน้องของกัปตันฟิลลิปส์แบบไม่มีเยื่อใยไปดื้อ  หรือจะเป็นการมาของหน่วยซีล  ที่พอเข้ามาหนังก็ทิ้งทหารเรือที่เหมือนจะมีความสำคัญกับหนังอยู่มากเอาไปเลย  ทำให้แลดูแล้วรู้สึกหงุดหงิดชอบกลเพราะปูบทมาเหมือนมีความสำคัญ  แต่กลับกลายเป็นตัวประกอบที่ไร้ค่าไปเฉยเลย

            หนังยังดีที่ได้การแสดงของทอม แฮงส์  ที่ช่วงแรกของหนังอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาของนักแสดงระดับฮอลลีวูด  แต่เมื่อเข้า 15  นาทีสุดท้ายของเรื่องแล้ว  ต้องบอกว่าจากหนังที่ลุ้นและงงกับบทนั้นแทบจะทิ้งแล้วไปทึ่งกับการแสดงของแฮงส์ไปโดยปริยาย  ที่สามารถแสดงอารมณ์ของคนผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญยิ่งกว่าเสียบริสุทธิ์ครั้งแรกก็ว่าได้  แต่อีกคนคงไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ  Barkhad Abdi (อ่านยากชิบหาย)  ในบท
“มูเซ่”  หัวหน้ากลุ่มโจรสลัดโซมาเรียทีเล่นได้อย่างเลือดเย็นและกวนตีนได้อย่างดี  หรืออาจจะเป็นเพราะสีหน้าของเค้ามันเหมาะกับสิ่งนี้ก็ได้

            หนังถือว่านำเสนอได้ค่อนข้างดีเยี่ยมในด้านของบท  เพราะเมื่อเราดูจบแล้วก็ยังเกิดคำถามอยู่เลยว่า  “ใครชนะ”  เพราะหนังเรื่องนี้ถึงจะมีฉากของทหารเรือของสหรัส  แต่น้ำหนักของมันก็ไม่ได้หมายถึงทำเพื่อชาติหรือทำเพื่ออะไร  หรือจะเป็นตัวของโจรสลัดนัยหนึ่งเราก็ไม่สามารถเข้าใจว่าสิ่งที่เค้าทำไปนั้นเพื่อความอยู่รอด  เพื่อเงิน  หรือเพื่อชื่อเสียงกันแน่  เปรียบเหมือนดั่งที่เราสู้กับบางสิ่ง  แต่เราก็ไม่รู้หรอกว่าถึงจะชนะแล้วชีวิตมันจะเป็นยังไงต่อ

            Captian Phillips  ถือเป็นหนังที่มอบความสนุกได้ครบอรรถรสไม่จำเจ  ถึงแม้อาจจะมีเวียนหัวกันบ้างกับมุมกล้องแต่หนังก็ยังเอาอยู่ในเรื่องเนื้อหาความสนุก  จึงเป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

            7.5 / 10