วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Hunger Games : Catching Fire

จากชีวิตสู่อำนาจ และการหลอกลวงของมายา




          ถือว่าเป็นหนังเฟรนไชน์ที่ภาคแรกไม่ค่อยเป็นที่นิยมของคนไทย (แต่ทั้งโลกตั้งตา)  แต่พอมาภาค  2  กระแสกลับแรงมาผิดหูผิดตาจนงงเหมือนกัน  กับภาพยนตร์ดราม่ากึ่งโรแมนติกหรืออาจจะไม่มีด้วยซ้ำ  ซึ่งโดยส่วนตัวไม่เคยตามกระแสเพราะภาคแรกนั้นชอบมาก ๆ  โดยเฉพาะนางเอกหน้าคมอย่างเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์

            ภาคนี้เป็นการเล่าเรื่องหลังจากเหตุการณ์เกมส์ล่าชีวิตครั้งที่  74  ที่แคทนิสเป็นผู้ชนะร่วมกับพีต้า  จนทำให้เกิดกระแสต่อต้านเบื้องสูงจากชนชั้นล่างใน  12  เขตปกครองแห่งแคปิตอล  จนลุกลามกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ  การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของคนชั้นล่าง  จนผู้นำสูงสุดต้องดิ้นพล่านจัดเกมส์ล่าชีวิตครั้งที่  75  ที่จะรวมผู้ชนะในแต่ละเขตมาสู้กันอีกครั้ง


            โดยภาคนี้ได้เปลี่ยนผู้กำกับกลายมาเป็น  ฟรานซิส ลอว์เรนซ์  ผู้ที่ฝากผลงานที่คุ้นตาอย่าง  Constantine , I Am Legend  และจะยังเป็นผู้กำกับในอีก  2  ภาคที่เหลือของภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย  (ชื่อภาคว่า Mockingjay 1และ 2)  ที่คราวนี้ก็ยังมาพร้อมกับนักแสดงหน้าเดิม ๆ  ทุกคนและนักแสดงหน้าใหม่อีกเล็กน้อย  แต่จะไม่ขอกล่าวถึงด้วยเหตุผลอะไรนั้นอ่านต่อเลยครับ


            สิ่งแรกที่ต้องขอชมผู้กำกับที่สามารถคุมตีมของหนังได้คงเส้นถึงขั้นดีกว่าภาคแรก  ที่แลดูว่าไม่น่าเบื่อไปกว่าเล็กน้อย  กับตัดฉากการเล่าเรื่อง  การคุมอารมณ์ของหนังทำได้ค่อนข้างดีกว่าภาคแรกเล็กน้อย  โดยเฉพาะฉากต่อสู้ที่ดูไม่ปวดหัวและระทึกมากกว่าพอสมควร  รวมไปถึงการคุมอารมณ์ของหนังที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว  สามารถทำให้เรารู้สึกอยากเอาใจช่วยแคทนิสให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นา ๆ  เพื่อที่จะเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า  “เบื้องสูง”  ให้กลุ่มคนชนชั้นล่างสามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา  และประเด็นการจิกกัดเรื่องการเมืองที่ทำได้อย่างเจ็บแสบเอามาก ๆ  (ไม่ขอเอ่ยว่าคล้ายบางประเทศ)

            แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกตะหงิดในเอาก็คือประเด็นในเรื่องความรัก  ที่การโฆษณาของภาคนี้จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องรัก 3 เศร้าระหว่างแคทนิส พีต้า และเกล  ซึ่งเหมือนการโผรโมทอาจจะทำให้หนังดูด้วยลงเพราะเมื่อคิดแบบนั้นมันไม่ต่างจากหนังกาก ๆ  อย่างหนังแวมไพรไร้สาราระอะไรนั่นเลย (ไม่ขอเอ่ยนาม)  เพราะเอาเข้าจริง ๆ  หนังก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเรื่องความรักของแคทนิสนั้นเธอเลือกหนือรักใครมากกว่ากันแน่  เผลอ ๆ  ออกแนวรักพี่เสียดายน้อง  แต่ก็อย่างที่บอกนั่นหล่ะว่าหนังยังไม่ชัดเจนหรืออาจจะเป็นเพราะมันไม่ได้โฟกัสจุดนั้นตั้งแต่ต้น  คงต้องไปโทษไอ้คนโปรโมทที่ทำเอาพวกติ่งบ้าความรักไม่ฟินกัน

            ส่วนเรื่องของนักแสดงภาคนี้ถือว่าพอเอาตัวรอดได้ในส่วนของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์  ที่เธอก็ยังคงแสดงอารมณ์ได้อย่างหลากหลายแต่ไม่เท่ากับตอนที่เธอเล่นในเรื่อง  Silver Linings Playbook  ซักเท่าไหร่  ส่วนตัวละครอื่น ๆ  ก็เล่นได้อาจจะตามมาตราฐานแต่ยังไม่ถึงขั้นดีมาก  อาจจะเป็นเพราะตัวของผู้กำกับที่แบ่งความสำคัญของตัวครได้ค่อนข้างไม่ลงตัวพอสมควร  ตัวไหนควรจะเด่นกลับไม่เด่น  ไม่มีการปูตัวละครที่จะไปต่อยอดในภาคต่อไปให้ชัดเจน  จนอาจจะทำให้คนดูสับสนในบางตัวละครว่าคือศัตรูหรือมิตร  แต่สุดท้ายคำตอบก็จะมีในตอนจบนั่นหล่ะ

            The Hunger Games : Catching Fire  ถือว่าเป็นหนังที่สมกับการรอคอยอยู่เหมือนกัน  ถึงแม้ว่าบางประเด็นของหนังยังทำได้ไม่ตื่นเต้นเท่าภาคแรก  หรืออาจจะทิ้งปมไว้ทั่วเพื่อไปคลี่คลายใน  2  ภาคสุดท้ายก็เป็นได้  แต่ยังดีที่มีการจิกกัดเรื่องการเมืองการปกครอง  เรื่องของรัฐศาสตร์  และเรื่องของวงการมายาได้แบบชัดเจนเจ็บแสบเอามากเลยทีเดียว

8.5 / 10