Gravity
ภยันตรายที่ไร้น้ำหนัก
ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีการปล่อยคลิปเล็กข่าวน้อยมากพอสมควร
ซึ่งก็ถือว่าเป็นการตลาดอย่างหนึ่งเพื่อยั่วคอหนังให้รอคอยการเข้าโรง
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างตั้งหน้ารอหนังอวกาศที่เรื่องนี้ค่อนข้างจะใช้หลักความจริงที่ไม่ใช่หนัง Sci-Fi ทั่ว ๆ
ไปที่บ้านเราค่อนข้างห่างหายหรือส่วนตัวผมลืมติดตามก็ไม่รู้
แต่ถ้าหนังจำพวกนี้ที่ผมได้ติดตามเท่าที่จำได้แนว ๆ นี้ก็คิดได้แค่ Apalo 13 กับ Amagedon แค่นั้นจริง ๆ
โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับแพทย์สาว ดร.ไรอัน สโตน (แซนดร้า บูลล็อค) และนักบินอวกาศหนุ่ม แม็ต โควอลสกี้ (จอร์จ คลูนี่ย์)
ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อกระสวยอวกาศที่ทั้งคู่ทำงานอยู่นั้น ดันไปโดนซากขยะอวกาศที่เกิดจากการระเบิดที่มาแบบเป็นห่าฝน
ทำให้ทั้งคู่ต้องร่วมชะตากรรมในการเอาตัวรอดในสภาวะที่เรียกว่า “ไร้นำหนัก”
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย Alfonso Cuarón
ซึ่งส่วนตัวนั้นยังไม่เคยชมผลงานเก่า ๆ
ของผู้กำกับคนนี้เลย
แต่สิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้จุดหนี่งก็คือ
การได้นักแสดงที่การันตีรางวัลมานับไม่ถ้วน เรียกว่าไม่มีใครไม่รู้จักอย่าง จอร์จ คลูนี่ย์ และ แซนดร้า บูลล็อค ซึ่งถือว่าเป็นงานหนักของทั้งคู่ก็ว่าได้ที่ต้องแบกรับหนังทั้งเรื่องโดยเฉพาะรายหลัง
สิ่งแรกที่ได้ชมภาพยนตร์และรู้สึกตื่นเต้นเอามาก
ๆ เพราะไม่ได้เห็นสิ่งนี้มานาน นั่นก็คือการใช้ฉากลองเทค ที่น้อยเรื่องจะมีหรือไม่มีมานานแล้วก็ได้ (ถ้าไม่นับหนังจำพวกใช้แฮนดี้แคมถ่ายนะ)
แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ผู้กำกับเค้าจึงจัดลองเทคไปอย่างเนียน ๆ ตาร่วม 15
นาที
พร้อมกับเทคนิคในการถ่ายทำได้แบบเสมือนเราหลุดไปอยู่ในห้วงอวกาศด้วยเลยก็ได้ แถมหนังยังสามารถทำให้เรารู้สึกระทึก
ตื่นเต้นพร้อมรู้สึกอยากเอาใจช่วยตัวเอกหลังจากเกิดอุบัติเหตุแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งต้องของชมผู้กำกับที่สามารถเนรมิตการถ่ายทำแบบ Blue Screen ให้กลายเป็นอวกาศที่ไร้จุดหมายและไร้ทิศทางได้อย่างขาสั่น แถมด้วยการใช้ซาวด์ดนตรีที่เน้นเงียบ ๆ
ไม่มีตูมตาม แต่ระทึกได้ตอลดเวลา
ก็เป็นอีกจุดที่ต้องขอชมเชย
ในเรื่องของการแสดงต้องยอมรับว่าทั้งคู่นั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องตำหนิอะไรเลย โดยเฉพาะแซนดร้า บลูล็อค ที่สามารถแสดงสีหน้าความกลัวในฉากลองเทค ความวิตกกังวลต่าง ๆ ในหนัง หรือง่าย ๆ
คือเธอนั้นสามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้อย่างสบาย ๆ เลยทีเดียว
ถึงแม้ในส่วนของบทหนังนั้นแทบจะไม่มีประเด็นอะให้น่าติดตามเลย
ไม่ว่าประเด็นความสิ้นหวังหรือการอยู่รอดเพื่อใครซักคน
ซึ่งบอกเลยว่าหนังนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญของบทหนังเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งทำให้เราไม่สามารถอินไปกับตัวเอกว่ามันจะมีชีวิตแบบไหนอะไรก็ช่าง แต่สามารถลบสิ่งเหล่านั้นด้วยการถ่ายทำที่อลังการและการแสดงส่วนอื่นที่ทำให้เราตื่นเต้น ทำให้เวลา
91 นาที ในโรงภาพยนตร์นั้นสนุกและระทึกไปได้ตลอดเวลา
ซึ่งถ้าลองจิตนาการว่าเราหลุดไปอยู่นอกอวกาศที่เราไม่สามารถแหวกว่ายเหมือนน้ำหรือกำหนดทิศทางได้จะเป็นอย่างไร
7.5/10 เรื่องนี้ต้องดูในระบบ 3D เท่านั้น
เพราะถ้าไปดูระบบธรรมดาผมคิดว่าเสียเงินเปล่า
เพราะต้องไปดูโปรดั๊ดฃั่นเท่านั้นถึงจะคุ้ม